เปิด 10 อันดับ ประเทศและภูมิภาคที่มีคนเรียน 'ภาษาญี่ปุ่น' มากที่สุด
‘ไทย’ ติด TOP 5 ประเทศที่มีคนเรียน ‘ภาษาญี่ปุ่น’ มากที่สุด!! 🇹🇭🇯🇵
(30 พ.ย. 66) ยูพีไอ รายงานเรื่องราวชีวิตชวนทึ่งของ ด.ญ.อิสลา แม็คแนบบ์ เด็กหญิงชาวอเมริกัน เจ้าของตำแหน่งเด็กที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้เป็นสมาชิกของ สถาบันอัจฉริยะแห่งอังกฤษ (เมนซา) ขณะมีอายุ 2 ขวบกับอีก 195 วัน
กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ระบุว่า อิสลาจากเมืองเครสวูด รัฐเคนทักกี กลายเป็นสมาชิกเมนซาที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก หลังวัดระดับเชาว์ปัญญาแบบไอคิวเปอร์เซ็นไทล์ได้ถึง 99 เมื่อเทียบกับเด็กในกลุ่มอายุเท่ากันด้วยการทดสอบความสามารถทางสติปัญญาแบบสแตนฟอร์ด บิเนต์
สำหรับบุคคลที่จะเข้าร่วมเมนซาได้ต้องมีคะแนนทดสอบไอคิวเปอร์เซ็นไทล์ที่ 98 หรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้น ด้าน นายเจสัน และ นางอแมนดา แม็คแนบบ์ พ่อแม่ของหนูน้อยอัจฉริยะ กล่าวว่าอิสลาเริ่มฉายแววตั้งแต่วันที่พาออกจากโรงพยาบาลเพราะสังเกตเห็นว่าอิสลามีสมาธิสูง
เมื่ออายุได้ 7 เดือน อิสลาเลือกรูปภาพสิ่งของจากหนังสือภาพเมื่อพ่อแม่บอกให้หยิบสิ่งนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง อิสลาเริ่มเรียนเดี่ยวกับพยัญชนะ ตัวอักษร สี และตัวเลขเมื่ออายุได้ขวบครึ่ง ไม่นานจากนั้นก็สามารถอ่านหนังสือได้
นายเจสันให้สัมภาษณ์กับ นิวยอร์กโพสต์ ว่าวันเกิดครบรอบ 2 ขวบของอิสลา ตนเขียนคำว่า “แดง” บนกระดานไวท์บอร์ด ก่อนจะทึ่งกับความสามารถของลูกสาวเพราะอ่านออกและเมื่อลองเขียนคำอื่นๆ เช่น “เหลือง” “แมว” และ “หมา” ลูกสาวก็อ่านได้อย่างง่ายดาย พออายุได้ 2 ขวบครึ่ง นางอแมนดาพาลูกสาวไปทดสอบไอคิวที่เมนซาและกลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในโลก
ด้าน นายเอ็ดเวิร์ด อาเมนด์ นักจิตวิทยาเด็กในรัฐเคนทักกีและผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กที่มีพรสวรรค์ กล่าวว่า การทดสอบไอคิวจะพิจารณาด้านความจำและการใช้เหตุผลของเด็กในวัยนั้นๆ รวมทั้งคำศัพท์ต่างๆ เช่น ถามให้เด็กตอบว่าสิ่งนี้คืออะไร มีความเหมือนหรือต่างกับสิ่งอื่นอย่างไร
นอกจากนี้ยังทดสอบอวัจนภาษาหรือไม่ใช้ภาษา แต่เน้นการแก้ไขปัญหา บอกรูปแบบและเมทริกซ์ต่างๆ โดยคำถามจะเริ่มจากง่ายแล้วค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้น พ่อแม่ของอิสลายังประหลาดใจที่ลูกสาวเข้าใจภาษามือและรู้ในสิ่งที่พ่อกับแม่ซึ่งไม่ว่าลูกสาวไปเรียนมาจากไหน
ขณะนี้อิสลาอายุ 4 ขวบแล้วและกำลังเรียนรู้โปรแกรมการศึกษาแบบส่วนตัวที่เมนซา ซึ่งพ่อแม่หวังว่าจะพบแหล่งข้อมูลและคำแนะนำจากพ่อแม่เด็กอัจฉริยะคนอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความสามารถพิเศษของลูกสาว นายเจสันกล่าวว่าดีใจมากที่อิสลาได้ลงบันทึกในกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ลูกสาวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในช่วง 3 ปีแรกและแทบจะอดทนรอเห็นอนาคตของลูกไม่ไหวแล้ว
(29 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะนักเรียน 14 คน ที่เดินทางไปแข่งขันในรายการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ 2023 WMTC-World Mathematics Team Championship ณ ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 66 ได้เดินทางกลับมาถึงยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว พร้อมผู้ฝึกสอนและผู้ปกครอง ท่ามกลางความยินดีจากผู้โดยสารที่มาใช้บริการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยรอบ
นายภูมิเทพ คลังอุไร ประธานโครงการ Thai Talent Training และ Coach ของทีมประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวแทนเด็กไทยสร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเป็นที่น่ายินดียิ่ง โดยสามารถคว้ารางวัลแชมเปี้ยนจากการแข่งขันประเภทบุคคล ของรุ่น Junior และยังสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม จากผู้เข้าร่วมแข่งขันมากกว่า 20 ประเทศ ที่มาจากทุกทวีปทั่วโลก
อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน, สหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, อิหร่าน, คาซัคสถาน, อียิปต์, พม่า,ได้หวัน, บัลกาเรีย, อุซเบกิสถาน, กัมพูชา และ ไทย 2023
WMTC เป็นรายการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสมาคมจีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน กับสมาคมเพื่อเฟ้นหาทีมสุดยอดระดับโลก สหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมปลูกฝังจิตวิญญาณการทำงานเป็นทีม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักคณิตศาสตร์จากทั่วโลก เพื่อช่วยกันพัฒนาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ให้มีความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
โดยมี Prof. Quan K. Lam from University of California (USA) เป็นประธานคณะกรรมการ WMTC
2023 WMTC เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติประเภททีม แต่ละทีมประกอบด้วยสมาชิก 6 คน ซึ่งมีการแข่งขันใน 3 รูปแบบ ได้แก่ Individual Round, Relay Round และ Team Round แบ่งการจัดการแข่งขันออกเป็น 3 รุ่น ได้แก่ Junior Level (ประถมศึกษาตอนปลาย), Intermediate Level (มัธยมศึกษาตอนต้น) และ Advanced Level (มัธยมศึกษาตอนปลาย)
สำหรับผลงานของตัวแทนประเทศไทย จากการแข่งขัน 2023 WMTC ซึ่งประเทศไทยได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมทั้ง 3 รุ่นนั้น มีดังนี้
1. Junior Level
• ได้รับรางวัลแชมเปี้ยน ประเภทบุคคล จากผลงานของ เด็กหญิงเพชรพริมา เศรษฐปิยานนท์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ได้รับเงินรางวัล 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ
• ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม จากผลงานของ
-เด็กหญิงเพชรพริมา เศรษฐปิยานนท์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
-เด็กชายดรณ์ นิสภาธร บ้านเรียนนิสภาธร
-เด็กชายวิชสิทธิ์ วิรัชศิลป์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
-เด็กชายอัฑฒ์ฐวิชณ์ ทองบัวศิริไล โรงเรียนอนุบาลสุธีธร
-เด็กชายศุภกร สิริธนกุล โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
-เด็กชายณทัช วรเศรษฐการกิจ Singapore International School Thonburi
• ได้รับรางวัลเหรียญทอง ประเภทบุคคล จากผลงานของ
-เด็กหญิงเพชรพริมา เศรษฐปิยานนท์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
-เด็กชายดรณ์ นิสภาธร บ้านเรียนนิสภาธร
-เด็กชายวิชสิทธิ์ วิรัชศิลป์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
• ได้รับรางวัลเหรียญเงิน ประเภทบุคคล จากผลงานของ
-เด็กชายอัฑฒ์ฐวิชณ์ ทองบัวศิริไล โรงเรียนอนุบาลสุธีธร
-เด็กชายศุภกร สิริธนกุล โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
• รางวัลเหรียญทองแดง ประเภทบุคคล จากผลงานของ
-เด็กชายณทัช วรเศรษฐการกิจ Singapore International School Thonburi
2. Intermediate Level
• ได้รับรางวัลเหรียญเงินประเภทบุคคล จากผลงานของ
-เด็กชายกรณ์ สิริธนกุล โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
-เด็กชายปุณณวิช อรุณศิริวัฒนา โรงเรียนแสงทองวิทยา
• ได้รับรางวัลเหรียญทองแดงประเภทบุคคล จากผลงานของ
-นายนรภัทร กมลรัตนกุล St. Stephen’s International school
-เด็กชายสุภาษิต ธรรมเภตรารักษ์ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
3.Advanced Level• ได้รับรางวัลเหรียญเงินประเภทบุคคล จากผลงานของ
-นายสร้างสรรค์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ Newton Sixth Form
-นายศุภเกียรติ มนัสศิริวิทยา Newton Sixth Form
• ได้รับรางวัลเหรียญทองแดงประเภทบุคคล จากผลงานของ
-นายณัฐพัชร์ ฉันทโรจน์ศิริ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
-นายภูวเดช ประยุรธเนศ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 รายงานข่าวเผยว่า นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้แสดงวิสัยทัศน์เรื่อง ‘The Future of Education พลิกโฉมการศึกษาไทยเท่าทันอนาคต’ ภายในงาน ‘THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2023 FUTURE READY THAILAND’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ นายศุภชัย ได้ฉายภาพรวมความท้าทายของโลกและเมกะเทรนด์ปี 2023 - 2030 โดยระบุว่า เด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายของโลกในหลายด้าน ดังนั้น เราต้องปรับตัวให้ทัน และต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลมากขึ้น เพราะเราหยุดความก้าวหน้าของโลกไม่ได้ แม้ว่าในตอนนี้โลกอยู่ในยุค 4.0 ซึ่งเป็นยุคของการเข้าถึงข้อมูลเป็นดั่งน้ำมันในอากาศ
เวลานี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งเป็นยุคของการผสมผสานเทคโนโลยี AI และกรอบความคิดของคน รวมถึงหลักความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นยุคที่ให้ความสำคัญในการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงให้กับคนในประเทศ
แต่ทั้งนี้ เมื่อมาดูผลสำรวจความสามารถทางทักษะดิจิทัล พบว่า เด็กไทยยังขาดทักษะดิจิทัลและภาษาอังกฤษที่ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน และหากดูการจัดอันดับการแข่งขันในเวทีโลก GDP ไทยอยู่อันดับที่ 26 แต่ GDP/CAPITA อยู่อันดับที่ 84 ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของไทยในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ รวมไปถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษาทำให้เด็กเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เพราะประสิทธิภาพของทรัพยากรมนุษย์ คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
นายศุภชัย ได้เสนอแนะสิ่งที่จะพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เท่าทันความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตว่า ระบบการศึกษาไทยควรต้องปรับการเรียนรู้จาก 2.0 เป็น 5.0 เข็มทิศสำคัญคือการให้ความรัก ให้ความมั่นใจกับเด็ก เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง โดยบทบาทของครูจะต้องปรับเปลี่ยนจากผู้สอนไปเป็น ‘โค้ช’ หรือผู้นำกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) ต้องสอนให้เด็กเป็น ‘นักค้นคว้า’ มีกรอบความคิดใหม่ และเกิดการปรับตัวให้อยู่รอดในโลกที่ท้าทายตอนนี้ เพราะฉะนั้น การเรียนรู้จึงต้องปรับให้เด็กเกิดการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ลงมือทำร่วมกัน อภิปรายด้วยเหตุผล เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนา โดยทุกโรงเรียนต้องปรับเป็น ‘Learning Center’
พร้อมกันนี้ได้เสนอโมเดล ‘Sustainable Intelligence Transformation’ (SI Transformation Model) ผ่าน 5 ฐานสำคัญในการเปลี่ยนระบบการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ประกอบด้วย
1.) Transparency โรงเรียนต้องมีตัวชี้วัด School Grading พร้อมตัวชี้วัดใหม่ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องมีสมุดพกดิจิทัล วิเคราะห์และพัฒนาศักยภาพรายบุคคล
2.) Market Mechanism สร้างกลไกตลาดและวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมไปถึงการส่งเสริมสื่อคุณธรรม
3.) Leadership &Talents ไม่จำกัดวิทยฐานะผู้อำนวยการ สร้างผู้นำและบุคลากรที่มีทักษะ 5.0
4. Empowerment เน้นการเรียนผ่านการลงมือทำในแบบ Action Based Learning บนสามขาความยั่งยืนคือเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และควรต้องมี Computer Science เป็นวิชาหลักครอบคลุมดิจิทัลเทคกับเอไอ
5.) Technology เสนอให้นักเรียนทุกคนมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต พร้อมส่งเสริมการสร้างสตาร์ทอัพ และดันให้ประเทศไทยเป็นฮับด้านนวัตกรรม
“เด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เพราะนั่นคือห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุด และต้องมีการส่งเสริมศักยภาพของคนรุ่นใหม่ เพื่อการพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งนี้ การศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องใหญ่ หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอนาคต เราต้องเปลี่ยนเจเนอเรชั่นถัดไป เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ และต้องสร้างทักษะดิจิทัลให้พวกเขามีศักยภาพในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างเท่าทัน” ซีอีโอเครือซีพี กล่าว
(27 พ.ย. 66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...
"เรา นักเรียนทุนรัฐบาล จากภาษีประชาชน ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน"
ผมในฐานะ ‘นายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย’ จัดการประชุมประจำปี และมอบรางวัลนักเรียนทุนดีเด่น และนักเรียนทุนดาวรุ่ง ประจำปี 2566 เพื่อเป็นกำลังใจแก่ คนทำความดีเพื่อสังคมไทย
ผมขอแสดงความยินดีกับ ผู้ได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่นี้ และครอบครัว รวมทั้งหน่วยงานของท่านด้วยครับ
ทุกความสำเร็จ ย่อมมี ‘คนปิดทองหลังพระ’ ซึ่งก็คือ พี่น้องคณะกรรมการสมาคมนักเรียนทุนฯ ที่เป็นคนที่เสียสละที่สุด ทำงานเพื่อส่วนรวม มิหวังผลตอบแทน และไม่เคยได้อะไรตอบแทน น่าศรัทธายิ่ง
เรารู้ว่า บุญคุณของสังคมไทย ที่ส่งเราไปเรียนต่างประเทศ นั้นยิ่งใหญ่มากนัก เราจึงมีหน้าที่ต้องตอบแทนประชาชน สังคม และแผ่นดินแม่ อย่างสุดความสามารถ
รู้ครับว่า ไม่ง่าย เพราะคนเก่ง คนดี อาจไปไม่ไกลถึงดวงดาว เพราะสังคมไทยมีปัจจัยแฝงมากมายเหลือเกิน
แต่กำลังใจ ที่มอบให้กัน และการยกย่องคนเก่งคนดี อย่างน้อยจะเป็นพลังซึ่งกันและกัน ผลักดันสังคมไทยให้พัฒนาขึ้นได้แน่นอน
สู้ๆ นะครับ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
นายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย (2562-2566)
#นักเรียนทุน
‘TVDH’ ประกาศพร้อมบุกตลาด ทั้ง TV และ Online หลังเคลียร์หลังบ้าน - ปรับโครงสร้างธุรกิจเรียบร้อย
ทีวีดี โฮลดิ้งส์ (TVDH) เผย แผนปรับโครงสร้างองค์กรคืบหน้าอย่างมาก เตรียมกลับมาบุกตลาด ทั้ง TV และ Online หวังสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง คาดผลงานจะชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4/66 หลังบอร์ดชุดใหม่เคลียร์หลังบ้าน - วางโครงสร้างธุรกิจ พร้อมระบุ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ ผู้บริหารชุดเก่า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVDH) เปิดเผยในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่2/2566 เมื่อวันที่31 ตุลาคม 2566 ว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร และโครงสร้างธุรกิจ มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 โดยมีเป้าหมายจะนำบริษัทฯ กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง และทิศทางการดำเนินธุรกิจจะเริ่มชัดเจนขึ้นภายหลังจากนี้ ภายใต้การบริหารงานของ นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์และมีความพร้อมที่จะนำพาธุรกิจของ TVDH ไปสู่ความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ และมีผลตอบแทนที่ดีที่สุดต่อไป
ด้านนายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVDH กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง เป็นช่วงการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับโลกธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อสร้างธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการผ่าตัดองค์กรในหลายๆ ด้านมีความสำเร็จตามลำดับ
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินงานที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา มี 2 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1. ตรวจสอบการทำงานของทุกแผนก และทำการปรับระบบการดำเนินงานใหม่ ให้ทุกอย่างมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งได้ระบุหาสาเหตุและทำการแก้ปัญหาได้หมดแล้ว รวมทั้งมีการส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินคดีฟ้องร้องผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้บริษัทฯได้รับความเสียหายเรียบร้อยแล้ว โดยในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ จะรายงานความคืบหน้าให้ผู้ถือหุ้นให้รับทราบต่อไป
2. วิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจทั้งภายใน และภายนอก ด้วยข้อมูลทางการตลาดที่ได้ประมวลผลใหม่
ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ธุรกิจของทีวี ไดเร็ค ที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ เพื่อให้บริษัทสามารถเข้าแข่งขันกับธุรกิจที่เกิดขึ้น ทั้งช่องทาง TV และ Online ได้อย่างแข็งแกร่ง
นายวรสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับทุกภาคที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นสิ่งที่ TVDH ต้องการ และศักยภาพที่บริษัทมี รวมถึงโอกาสที่จะทำธุรกิจร่วมกัน และสิ่งที่จะสร้าง Win-Win ทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้บริโภค คู่ค้า และ สถานี โดยการปรับกลยุทธ์เป็นแบบ Quick Win ประกอบด้วย
-การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สามารทำให้เป็นผู้นำในตลาดได้
-การบริหารจัดการคลังสินค้า โดยการลดพื้นที่เช่าให้เหมาะสม หาโซลูชั่นใหม่ๆ ทำให้ระบบการทำงานมีความคล่องตัว และประหยัดต้นทุน
-ปรับลดสาขาที่อยู่ในต่างจังหวัด เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดยอดขายและผลกำไร หลังจากปรับกลยุทธ์ในเรื่องดังกล่าวแล้ว ทำให้สามารถลดรายจ่ายได้เกินครึ่งและ มีแนวโน้มยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้
“กลยุทธ์หลักของ TVDH หลังจากนี้ จะจะไม่เพียงแค่การฝากขายเท่านั้น แต่มุ่งการเป็น Strategic Partner การวางกลยุทธ์กับคู่ค้า ที่จะมีส่วนร่วมตั้งแต่ข้อมูลที่มีบรูณาการร่วมกัน และร่วมพัฒนาสินค้าที่เหมาะสมกับทุกช่องทางขาย พร้อมกับสร้างศักยภาพใหม่ จากจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละราย และจากเครือข่าย ที่บริษัทฯ มี เป็นสัญญาณของความร่วมมือ ในไตรมาสที่ 3 - 4 นี้ แม้ว่าอาจจะยังไม่สามารถสร้างผลออกมาได้ชัดเจน แต่จากความตั้งใจของทีมงาน ผู้บริหารชุดใหม่ และระบบการทำงาน เชื่อมั่นว่าจะเป็นภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน” นายวรสิทธิ์ กล่าว
‘สมาคมนักเรียนไทย-จีน’ จัดค่าย ‘Young BRI 2023’ แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ หนุนความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
เมื่อไม่นานนี้ ‘สมาคมนักเรียนไทย-จีน’ (TCSA) ร่วมกับ ‘สำนักงานนวัตกรรมและความร่วมมือ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน’ (CAS-ICCB) จัดกิจกรรมโครงการ ‘Young BRI 2023 (Winter) มิติใหม่สัมพันธ์ไทย-จีน ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม’ รวมนักเรียนนักศึกษาไทย-จีนกว่า 60 คน เข้าค่าย 3 วัน 2 คืน ณ โรงแรม Holiday Inn Silom กรุงเทพฯ โดยโครงการกิจกรรมดังกล่าวนั้น ได้รับการสนับสนุนโดย สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย และร่วมจัดโดยสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย (CSSAT)
ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืนของค่าย Young BRI 2023 (Winter) นั้น อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมมากมาย ทั้งการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ผ่านการบรรยายโดยวิทยากรพิเศษ กิจกรรมสันทนาการเพื่อการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำกิจกรรมศึกษาดูงานนอกสถานที่ กิจกรรมประกวดแสดงความสามารถด้านการร้องเพลง และกิจกรรมนำเสนอผลงานกลุ่ม
สำหรับกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ผ่านการบรรยายนั้น ได้รับเกียรติจากกูรูตัวจริงอย่าง ‘ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร’ ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ ‘การพัฒนาของจีนยุคใหม่กับโอกาสของเยาวชนไทย’ และ ‘ดร.อรสา รัตนอมรภิรมย์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ CAS-ICCB บรรยายในหัวข้อ ‘การทูตวิทยาศาสตร์ในความสัมพันธ์ไทย-จีน’
โดยในส่วนของกิจกรรมศึกษาดูงานนอกสถานที่นั้น ทางคณะผู้จัดได้พาไปดูความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ไทย-จีน ณ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ อ.องครักษ์ จ.นครนายก เรียนรู้การทำงานของเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน TT-1 (Thailand Tokamak l) ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์แห่งแรกในอาเซียน
นอกจากนี้ ยังไปที่สวนนวัตกรรม ‘Summer Lasalle Innovation park’ กทม. รับฟังประสบการณ์จากตัวแทนบริษัท Ocean Sky Network Co.,Ltd. : Online Marketing Analysis , Mettler-Toledo (Thailand) Co.,Ltd. : Production and service for measuring instruments for lavatories, Cosmax (Thailand) Co.,Ltd. : ODM Manufacturer for K-beauty and health products และเดินชมพื้นที่ของสวนนวัตกรรมในบรรยากาศสบายๆ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนำเสนอผลงานกลุ่ม และกิจกรรมสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรม และสานสัมพันธ์มิตรภาพของนักเรียนนักศึกษาไทย-จีน ซึ่งออกแบบโดย ‘นางสาวธนธร ศิระพัฒน์’ อุปนายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน และกิจกรรมแสดงความสามารถผ่านการประกวดร้องเพลงจีนที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ ‘พระจันทร์’ อันเป็นกิจกรรมที่สืบเนื่องมาจากเทศกาลวันไหว้พระจันทร์
กิจกรรม 3 วัน 2 คืนผ่านไปด้วยดี บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ไทย-จีน และภาพรวมของ ‘ความคิดริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง : Belt and Road Initiative’ (BRI) ที่สำคัญ ยังเป็นพื้นที่ให้เหล่านักเรียนนักศึกษาชาวไทยและชาวจีนได้มารู้จักกัน แลกเปลี่ยนและสร้างมิตรภาพกันผ่านกิจกรรมที่ออกแบบโดยสมาคมฯ และเครือข่ายผู้ร่วมจัด
‘กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม’ ชวนน้องๆ ทุกคน รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจมาร่วมงาน ‘ไทยโคเซ็นแฟร์ 2023’ ⚙️⚒️
รู้จักหลักสูตรทุกสาขาวิชาว่าพี่ๆ เรียนอะไรกันบ้าง แนะนำวิธีเตรียมตัวเพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อ และเข้าเยี่ยมชมบูทนิทรรศการของ ‘KOSEN-KMITL’ และ ‘KOSEN KMUTT’ รวมไปถึงบูทภาคอุตสาหกรรมไทย - ญี่ปุ่น 🇹🇭🇯🇵 และพบกับกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
เจอกันได้ในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566
🕗เวลา 9.00 - 17.00 น.
📍ณ ห้องภิรัช ฮอลล์ 1 ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
Link สำหรับลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Thai KOSEN Fair 2023
https://forms.gle/kaUrLAJg7nvER3JZ6
ปล. งานนี้แค่เข้าร่วมงาน ลุ้นชิงรางวัล มูลค่ากว่า 100,000 บาท 🤩🥳
🧡💙อย่าลืมมาร่วมงานกันเยอะๆ นะคะ💙🧡
#ThaiKOSEN #KOSENKMITL #KOSENKMUTT #PracticalEngineering
The new breed of engineers, Thai - KOSEN has arrived.
Don’t miss your chance to learn how to get the Thai KOSEN full scholarship. ⚙️⚒️
Ministry of higher education science research and innovation would like to invite you to attend the Thai - KOSEN Fair 2023. 🧡💙
Get up close and personal with :
* The curriculums of Thai - KOSEN
* Personal advise on how to prepare for Thai KOSEN
scholarship exams.
* Visiting exhibition boots of KOSEN - KMITL and KOSEN - KMUTT including many more exhibition booths of Thai - Japanese industries with many enjoyable activities.
See you on December 2nd, 2023 from 09.00 A.M. - 05.00 P.M. at Hall 1 BITEC Bang na, Bangkok.
Please see link for pre-registration of Thai - KOSEN Fair 2023‼️
https://forms.gle/kaUrLAJg7nvER3JZ6
Join us and win a grand prize with the value of ฿100,000.00‼️🎉🎉🎉
See you there guys!!
เมื่อไม่นานมานี้ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ ดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ตราสัญลักษณ์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 และติดหนึ่งใน Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ในโครงการสำรวจการกำกับการดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ประจำปี 2566 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ทั้งนี้ ปตท. ได้ผ่านหลักเกณฑ์ที่สำคัญด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงครอบคลุมทั้งในด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) สะท้อนการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศสู่การยอมรับในระดับสากล
‘GRSC เครือ ปตท.’ เปิดรับสมัครบุคลากรเข้าทำงาน ร่วมเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจพลังงานในอินเดีย
(16 พ.ย. 66) บริษัท โกลบ อล รีนิวเอเบิล ซินเนอร์ยี่ จำกัด หรือ ‘GRSC’ บริษัทย่อยของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘GPSC’ แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. เปิดรับสมัครผู้ที่สำเร็จ/ใกล้จบการศึกษา จากมหาวิทยาลัย หรือผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานในประเทศอินเดีย ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบุกเบิกธุรกิจพลังงานในประเทศอินเดีย 🇮🇳
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติม หรือสอบถามและส่งประวัติมาได้ที่อีเมล Korakod.s@gpscgroup.com
รัฐบาลสิงคโปร์อัดฉีดงบประมาณเพิ่มอีก 1.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เตรียมแจกเงินให้ชาวสิงคโปร์ที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 200-800 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 5,200 - 21,000 บาท) ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในสิงคโปร์
การแจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองทุน Assurance Package (AP) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ว่าจะแจกเงินให้แก่ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้น เป็นจำนวนเงิน ตั้งแต่ 700 - 2,200 เหรียญ โดยประเมินจากรายได้ต่อปี และการถือครองอสังหาริมทรัพย์เป็นรายบุคคล
ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ...
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีไม่เกิน $34,000
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $34,000 แต่ไม่ถึง $100,000
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $100,000
- กลุ่มที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 แปลงขึ้นไป
กลุ่มที่มีรายได้น้อย ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มรายได้สูง หรือถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเป้าหมายของการแจกเงิน ก็เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสิงคโปร์ในภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงอนุมัติกองทุนช่วยเหลือนี้ให้ชาวสิงคโปร์นำไปใช้ซื้อสินค้า อุปโภค บริโภค และบริการที่จำเป็น โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2022 - 2026
แต่ปีนี้จะมีเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มให้อีก ที่เรียกว่า AP Cash Special Payment ให้สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ถึงปานกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีก 200 เหรียญ
นาย ลอเรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ ได้ประกาศไว้ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลตัดสินใจเพิ่มงบประมาณในกองทุน Assurance Package อีก 1.1 พันล้านเหรียญ สำหรับจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มในปีนี้โดยเฉพาะ ที่จะทำให้มีเงินในกองทุนนี้สูงถึงกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ
ดังนั้น ภายในสิ้นปีนี้ ชาวสิงคโปร์ที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป กว่า 2.9 ล้านคน จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้งจากโครงการ AP เดิม รวมกับ AP Cash Special ตั้งแต่ 200 - 800 เหรียญเลยทีเดียว
ซึ่งผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินผ่านระบบ PayNow ซึ่งคล้ายกับระบบ 'พร้อมเพย์' ของไทย หรือแจ้งรายละเอียดบัญชีธนาคารในเว็บไซต์ของ Assurance Package หรือ ใช้ระบบ GovCash เบิกถอนจากตู้ ATM ของธนาคาร OCBC ได้ทุกแห่งทั่วสิงคโปร์โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคาร
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตั้งแต่มกราคม 2024 ชาวสิงคโปร์ทุกครัวเรือนก็จะได้รับบัตรกำนัลดิจิทัล มูลค่า 500 เหรียญ ภายใต้โครงการ CDC Vouchers สำหรับจับจ่ายซื้อของใช้ในร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล และ เงินช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ จากโครงการ U-Save อีกราว ๆ 130-210 เหรียญต่อครัวเรือน
ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการ AP Senior Bonus สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปอีก 200-300 เหรียญ และยังมี CPF MediSave กองทุนลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล ให้อีก 150 เหรียญ
เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถม ถ้วนหน้า แล้วจริง ๆ สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์ ถึงจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดติดอันดับโลก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในย่านอาเซียน ซึ่งกลุ่มเปราะบาง รายได้น้อย หรือวัยเกษียณ มักได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบริหารงบประมาณแผ่นดินให้ถี่ถ้วน เพื่อนำมาบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ถ้วนหน้า และ เท่าเทียม ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) จัดงาน ‘PTT Group Innovation for Future Society 2023 จุดพลังสร้างอนาคต ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน’ แสดงนวัตกรรมและผลสำเร็จของโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท. โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทใน กลุ่ม ปตท. ผู้นำชุมชนและสมาชิกชุมชนจาก 45 พื้นที่เครือข่าย รวมถึงเยาวชนจากโครงการ Restart Thailand เข้าร่วมงาน ณ ปตท. สำนักงานใหญ่
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า ‘โครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท.’ เป็นอีกหนึ่งโครงการ ที่ ปตท. และบริษัทในกลุ่มรวมพลังกันเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนำนวัตกรรม องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัทมาพัฒนาชุมชนเครือข่าย 45 ชุมชน ใน 29 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทชุมชนใน 3 ด้านประกอบด้วย Smart Farming ยกระดับการเกษตรด้วยนวัตกรรมให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในปริมาณที่สูงขึ้น Smart Marketing การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยการแปรรูปและสร้างมาตรฐานให้ผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้แก่ชุมชน และ Community-Based Tourism ส่งเสริมการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมาย ทุกชุมชนสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานรายได้เดิม ร้อยละ 10 มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนรวม 45 รายการ พัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวโดยชุมชนจำนวน 6 พื้นที่ รวมถึงชุมชนมีทักษะและศักยภาพที่สามารถดำเนินการและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งผลสำเร็จจากโครงการจะทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังร่วมแก้ปัญหาการว่างงาน โดยจ้างบัณฑิตจบใหม่ผ่านโครงการ Restart Thailand กว่า 280 อัตรา เพื่อให้เป็นพลังร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ พัฒนาและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชุมชนบ้านเกิด เป็นโอกาสให้เยาวชนที่จบใหม่และอยู่ในพื้นที่โครงการฯ ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท้องถิ่นและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากกลุ่ม ปตท. พัฒนาพื้นที่บ้านเกิด นับเป็นผลสำเร็จของการพัฒนาชุมชนในทุกมิติ ให้ชุมชนในพื้นที่สามารถต่อยอด และพึ่งพาตนเองต่อไปได้
การจัดงาน PTT Group Innovation for Future Society 2023 ครั้งนี้ จึงเป็นการสรุปผลสำเร็จของโครงการฯ ที่ได้ดำเนินมาตลอดเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 - 2566 รวมถึงเป็นการนำนวัตกรรมและองค์ความรู้ของ กลุ่ม ปตท. และองค์ความรู้ของชุมชนที่เกิดขึ้นในโครงการฯ พัฒนาเป็น ‘จุดเรียนรู้’ 12 พื้นที่ มาจุดประกายให้ผู้ที่ร่วมงานได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อขยายพื้นที่สร้างรอยยิ้มให้กับชุมชนอื่น ๆ ได้ต่อไป เพราะทุกชุมชนคือรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ”
สำหรับการจัดงาน ‘PTT Group Innovation for Future Society 2023 จุดพลังสร้างอนาคต ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน’ จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 โดยมีการจัดแสดงนวัตกรรมและผลสำเร็จของโครงการฯ ผ่านพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ 3 โซน ประกอบด้วย โซนที่ 1 นวัตกรรมเพื่อชุมชน โดย กลุ่ม ปตท. และพื้นที่เรียนรู้ชุมชน โซนที่ 2 การท่องเที่ยวโดยชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชน และโซนที่ 3 ตลาดนัดชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาเพื่อให้ชุมชนได้แบ่งปันประสบการณ์ในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงได้รับเกียรติจากวิทยากรภายนอก อาทิ คุณสรกล อดุลยานนท์ ‘หนุ่มเมืองจันทร์’ เจ้าของสวนสันติเกษตรอินทรีย์ เป็นผู้ดำเนินเวที, คุณชารีย์ บุญญวินิจ จาก ฟาร์มลุงรีย์ Uncle Ree Farm, คุณนิพนธ์ พิลา จาก พิลาฟาร์มสตูดิโอ, คุณจรงศักดิ์ รองเดช จากภัตตาคารบ้านทุ่ง และคุณธราณิศ ประเสริฐศรี Co-Founder Technical จาก Varuna สตาร์ตอัปสายเขียวเกษตรกรยุคใหม่ ร่วมเติมเต็มเรื่องราวการพัฒนาชุมชนที่น่าสนใจอีกด้วย
“กลุ่ม ปตท. จะยืนหยัดมุ่งมั่นดูแลความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ พร้อมพัฒนาธุรกิจใหม่ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ปตท. ได้นำส่งรายได้เข้ารัฐเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ นับตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน (9 เดือนแรกของ ปี 2566) ในรูปแบบภาษีเงินได้และเงินปันผล แล้วกว่า 1.21 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปตท. ได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมและชุมชน ทั้งในกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ทั้งด้านการส่งเสริมชุมชนเข้มแข็ง การแก้ปัญหาภัยพิบัติ การส่งเสริมการศึกษา และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการนวัตกรรมสร้างรอยยิ้ม กลุ่ม ปตท. แม้ว่าระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เชื่อว่าองค์ความรู้ นวัตกรรม และวิถีการเกษตรครบวงจรจะยังดำเนินการและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง” นายอรรถพล กล่าวปิดท้าย
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เปิดพื้นที่ส่งเสริมพลังสร้างสรรค์ทางดนตรี Black Box Theater เพียบพร้อมทั้งระบบ แสง สี เสียง ได้มาตรฐานสากล ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ดนตรีอุษาคเนย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เปิดโลกแห่งการเรียนรู้จากห้องเรียนสู่การปฏิบัติระดับมืออาชีพ ต่อยอด Soft Power ให้กับประเทศ
ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมพิธีเปิด Black Box Theater อย่างเป็นทางการ โดยห้องแสดงดนตรีที่ไร้ขอบเขตจินตนาการแห่งนี้ มุ่งพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ โดยเฉพาะในสาขาวิชาเทคโนโลยีดนตรี (Music Technology) ที่ต้องเรียนรู้การใช้เครื่องมือระบบเสียง การจัดไฟ ออกแบบการแสดงดนตรีสด และสาขาวิชาดนตรีสมัยนิยม (Popular Music) ที่ต้องการเวที ฝึกซ้อมและจัดแสดงในฐานะนักดนตรีเดี่ยวและวง
“Black Box Theater ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพให้มีจินตนาการสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด เพราะมีเครื่องมือ และอุปกรณ์เทียบเวทีการแสดงระดับสากล ให้ทดลองใช้ในการแสดง ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐาน ต่อยอดให้กับ Soft Power ให้กับประเทศ ซึ่งจะมีนักดนตรีที่มีศักยภาพ มีนักดนตรีเก่ง ๆ สู่เส้นทางอาชีพมากขึ้น เพราะมีเครื่องมือสนับสนุนที่เพียบพร้อม” ดร.ณรงค์ กล่าว
ดร.ณรงค์ กล่าวเติมถึงความโดดเด่นของ Black Box Theater ซึ่งมีขนาด 25 x 20 เมตร สามารถปรับรูปแบบการแสดงได้ตามความคิดสร้างสรรค์ เป็นระบบที่วงการคอนเสิร์ตใช้กันอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบอะคูสติก ที่มีค่าความก้องเหมาะกับดนตรีประเภทป็อป ด้วยเครื่องเสียงระดับโลก ทำให้ได้ยินเสียงที่เป็นมาตรฐานสากลจริง ๆ เป็นประสบการณ์ชั้นดี ที่สามารถนำไปต่อยอดการทำงานในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบภาพมีความทันสมัยด้วยการใช้ Projector Mapping ด้วยโพรเจกเตอร์ 3 เครื่อง ฉายบนจอขนาดใหญ่ สามารถปรับเป็นจอโค้งได้ ระบบไฟ สำหรับงานคอนเสิร์ต หมุนเคลื่อนไหวและย้อมเปลี่ยนสีได้ตามต้องการ พร้อมด้วยระบบรอก ย้ายตำแหน่ง ฉาก ลำโพง ส่วนที่นั่ง และเวที ที่มีความยืดหยุ่นเลื่อนพับเก็บหรือขยายได้ ที่นี่จึงเหมาะทั้งเป็นคอนเสิร์ตฮอลล์ โรงภาพยนตร์ มิวสิกวิดีโอ เวิร์กช็อปงานดนตรี
“เรียกได้ว่าที่นี่ เป็นทั้งห้องทดสอบ และส่งเสริมพัฒนาการ การแสดงที่สมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะนำไปขยายผลในการแสดงบนเวทีจริง ทั้งยังเป็นพื้นที่จำลอง ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาในสายงานที่เชื่อมโยงกัน ได้มาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน ลงมือปฏิบัติงานกับอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานในการจัดแสดงคอนเสิร์ตจริง เทียบเท่าเวทีระดับสากล และยังเปิดให้คนภายนอกเข้ามาใช้งาน ในช่วงปิดภาคการศึกษา ค่ายเพลงสามารถติดต่อเข้ามาใช้ เพื่อให้ศิลปินมาซ้อมก่อนขึ้นแสดงจริงได้”
นอกจากนี้ Black Box Theater ยังได้ติดตั้งลำโพงตามองศาการกระจายเสียงเพื่อให้ทุกพื้นที่ได้ยินเสียงเท่ากัน สามารถจุผู้ชมเต็มพื้นที่ได้ราว 300 คน นอกจากนี้ยังมี White Box Theater ห้องแสดงเล็กขนาด 15 x 10 เมตร จุผู้ชมได้ราว 50 คน ภายในติดตั้งระบบเสียง ภาพ และไฟ ที่ได้มาตรฐานสากลเช่นเดียวกัน มีห้องพักนักแสดง พื้นที่ backstage สำหรับเตรียมฉาก และอุปกรณ์
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานในพิธี ได้กล่าวเสริมว่า “Black Box Theater คือนวัตกรรม ที่นำมาส่งเสริมการฝึกซ้อมที่น่าภาคภูมิใจ ให้กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ ในสายดนตรีให้มีโอกาสได้พัฒนาทักษะ ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย เทียบเท่าสากล นี่คือวิสัยทัศน์ของคณะผู้บริหาร ที่ได้ร่วมกันสร้างขึ้น เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้โดยการจัดแสดงจริง เป็นการเพิ่มพูนทักษะในทางปฏิบัติ นอกเหนือจากการเรียนทางทฤษฎี นักศึกษาสามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มศึกษาไปสู่การทำงาน เชื่อว่าที่นี่ จะเป็นห้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ให้กับนักศึกษาสายดนตรีก้าวสู่เส้นทางอาชีพ ที่มีศักยภาพ”
ซึ่งในโอกาสนี้ คุณหญิงปัทมา ยังได้มอบทุน“กองทุนเปรมดนตรี” เพื่อสนับสนุนการศึกษาทางด้านดุริยางคศาสตร์ ประจำปี 2566 ให้กับนักเรียน นักศึกษา รวม 13 ทุน
‘กลุ่ม ปตท.’ เผยผลดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น - รวมนำเงินส่งรัฐกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อย ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้ 2,337,438 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 79,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ของกลุ่ม ปตท. ปรับลดลง โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น จากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 และผลกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ปรับลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง
โดยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครือ อีกประมาณ 34,000 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 9 เดือนแรกของปี 2566 ให้กับรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ แล้วประมาณ 48,000 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินปันผลจะพิจารณาให้เหมาะสมกับกำไร สถานะทางการเงิน สภาพคล่อง รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางพลังงาน สนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ดังตลอดระยะเวลา 45 ปี ที่ผ่านมา พร้อมมุ่งจุดพลังชีวิต ขับเคลื่อนอนาคต สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน
ทั้งนี้ ปตท. ขานรับนโยบายลดผลกระทบค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. วันที่ 19 ตุลาคม 2566 มีมติเห็นชอบให้ ปตท. เรียกเก็บค่าเชื้อเพลิงตามค่าควบคุม และยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้กลุ่มภาคไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตามมติ ครม. พร้อมให้ทยอยจ่ายคืนส่วนต่างในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับรอบถัดไปตามที่ กกพ. เห็นชอบ มีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 โดยตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ปตท. สนับสนุนงบประมาณบรรเทาผลกระทบต้นทุนด้านพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะวิกฤตต่าง ๆ ให้กับประชาชนแล้ว กว่า 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ปตท. ยังได้มีการจัดสรรก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ตลอดจนจัดหา LNG ในราคาที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าเทียบเท่า 6,000 ล้านบาท รวมถึงช่วยเหลือผู้ใช้พลังงานในภาคส่วนอื่น ๆ ทั้ง LPG NGV และสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อร่วมดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
‘พระนาย’ นักเรียนทุน Bloomsbury international school Hatyai คว้าแชมป์ กอล์ฟเยาวชน ‘ถาวร’ ยินดีพร้อมหนุน พัฒนานักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย สู่ระดับมืออาชีพในอนาคต
ช่วงระหว่าง วันที่ 10-12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่สนามกรังปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการแข่งขัน กอล์ฟเยาวชน ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’ ส่วนกลาง สนาม 5 คลาส S-A-B โดยมีตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน
โดยผลการแข่งขันในรุ่นคลาส AB ผู้คว้าแชมป์ ได้แก่ นายวิศว์ จิตตธร, รุ่นคลาส AG แชมป์ ได้แก่ นางสาวธัญจิรา อิสสระผล, รุ่นคลาส BB แชมป์ ได้แก่ นายพระนาย เหรียญไกร และเป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย, รุ่นคลาส BG แชมป์ ได้แก่ นางสาวมาริษา โตใจ, รุ่นคลาส SB แชมป์ ได้แก่ นายภูธเนษฐ์ กังวล, รุ่นคลาส SG แชมป์ ได้แก่ นางสาวพิมพ์ชมพู ฉายศิลป์รุ่งเรือง
สำหรับพระนาย เหรียญไกร เป็นนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่มี ‘ถาวร เสนเนียม’ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่
‘ถาวร เสนเนียม’ ประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai ได้ออกมาแสดงความยินดีกับน้องพระนาย เหรียญไกร ซึ่งเป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยที่มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนต่อความฝันของอาชีพคือ
1. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
2. Bloomsbury International School Hatyai และ
3. ร้าน Crochet ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องพระนายในการแข่งขันกีฬากอล์ฟ
“ผมในฐานะประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai เราพร้อมสนับสนุนน้องพระนาย ให้เดินตามความฝันทั้งด้านการเรียนและด้านกีฬาอย่างสุดกำลัง” ถาวร เสนเนียม กล่าว
โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ บริหารโดยคุณพิมพ์จันทร์ เสนเนียม ทายาทของถาวร เสนเนียม
นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ถาวร เสนเนียม ว่า…
“คณะผู้บริหาร Bloomsbury International School Hatyai โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ คณะนี้เข้าบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งผม นายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษา จนถึงขณะนี้ Bloomsbury International School Hatyai ได้รับรองการประเมินความเป็นมาตรฐานจาก 2 องค์กร คือ
1.มาตรฐานของสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565
2.มาตรฐานของ CIS (Council of International Schools) ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม 2565 (January 2022)
ซึ่งถือว่ามีคุณภาพในด้านการเรียนการสอนและการบริหารเป็นที่น่าพอใจยิ่ง
วิธีการตรวจสอบว่าโรงเรียนใด สามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้มาตรฐานหรือไม่ กฎหมายได้กำหนดให้มีการรับรองมาตรฐานเรียกว่าการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการติดตาม และตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ระบุไว้ในมาตรา 49 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือ สมศ. เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน
เป้าหมายของการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม และโปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติ โดยให้มีเอกภาพเชิงนโยบาย ซึ่งสถานศึกษาสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้เต็มศักยภาพของสถานศึกษาและผู้เรียน ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา สร้างความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม และพลเมืองของโลก ตามเป้าหมายการศึกษาชาติ
สำหรับการประกันคุณภาพโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาตินั้น นอกจากจำเป็นต้องได้รับการประเมินและประกันคุณภาพจาก สมศ. แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับรองการประกันคุณภาพภายนอกจากองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์กรที่เป็นสากล เช่น CIS , WAS เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กร CIS ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการยืนยันว่าโรงเรียนแห่งนี้ สามารถจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ ทั่วโลก สร้างความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active citizen) มุ่งเน้นให้เป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ (Learner) อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก (well being) และสร้างความยั่งยืน (sustainable)”