Thursday, 28 March 2024
NEWSFEED

‘กลุ่ม ปตท.’ เผยผลดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น - รวมนำเงินส่งรัฐกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อย ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้ 2,337,438 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 79,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ของกลุ่ม ปตท. ปรับลดลง โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น จากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 และผลกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ปรับลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง

โดยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครือ อีกประมาณ 34,000 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 9 เดือนแรกของปี 2566 ให้กับรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ แล้วประมาณ 48,000 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินปันผลจะพิจารณาให้เหมาะสมกับกำไร สถานะทางการเงิน สภาพคล่อง รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางพลังงาน สนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ดังตลอดระยะเวลา 45 ปี ที่ผ่านมา พร้อมมุ่งจุดพลังชีวิต ขับเคลื่อนอนาคต สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน

ทั้งนี้ ปตท. ขานรับนโยบายลดผลกระทบค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. วันที่ 19 ตุลาคม 2566 มีมติเห็นชอบให้ ปตท. เรียกเก็บค่าเชื้อเพลิงตามค่าควบคุม และยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้กลุ่มภาคไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตามมติ ครม. พร้อมให้ทยอยจ่ายคืนส่วนต่างในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับรอบถัดไปตามที่ กกพ. เห็นชอบ มีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 โดยตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ปตท. สนับสนุนงบประมาณบรรเทาผลกระทบต้นทุนด้านพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะวิกฤตต่าง ๆ ให้กับประชาชนแล้ว กว่า 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ปตท. ยังได้มีการจัดสรรก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ตลอดจนจัดหา LNG ในราคาที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าเทียบเท่า 6,000 ล้านบาท รวมถึงช่วยเหลือผู้ใช้พลังงานในภาคส่วนอื่น ๆ ทั้ง LPG NGV และสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อร่วมดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

‘ถาวร’ พร้อมหนุน ‘พระนาย’ นักเรียน รร.นานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ หลังคว้าแชมป์กอล์ฟเยาวชน รายการ ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’

‘พระนาย’ นักเรียนทุน Bloomsbury international school Hatyai คว้าแชมป์ กอล์ฟเยาวชน ‘ถาวร’ ยินดีพร้อมหนุน พัฒนานักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย สู่ระดับมืออาชีพในอนาคต

ช่วงระหว่าง วันที่ 10-12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่สนามกรังปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการแข่งขัน กอล์ฟเยาวชน ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’ ส่วนกลาง สนาม 5 คลาส S-A-B โดยมีตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน

โดยผลการแข่งขันในรุ่นคลาส AB ผู้คว้าแชมป์ ได้แก่ นายวิศว์ จิตตธร, รุ่นคลาส AG แชมป์ ได้แก่ นางสาวธัญจิรา อิสสระผล, รุ่นคลาส BB แชมป์ ได้แก่ นายพระนาย เหรียญไกร และเป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย, รุ่นคลาส BG แชมป์ ได้แก่ นางสาวมาริษา โตใจ, รุ่นคลาส SB แชมป์ ได้แก่ นายภูธเนษฐ์ กังวล, รุ่นคลาส SG แชมป์ ได้แก่ นางสาวพิมพ์ชมพู ฉายศิลป์รุ่งเรือง

สำหรับพระนาย เหรียญไกร เป็นนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่มี ‘ถาวร เสนเนียม’ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่

‘ถาวร เสนเนียม’ ประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai ได้ออกมาแสดงความยินดีกับน้องพระนาย เหรียญไกร ซึ่งเป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยที่มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนต่อความฝันของอาชีพคือ

1. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
2. Bloomsbury International School Hatyai และ
3. ร้าน Crochet ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องพระนายในการแข่งขันกีฬากอล์ฟ 

“ผมในฐานะประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai เราพร้อมสนับสนุนน้องพระนาย ให้เดินตามความฝันทั้งด้านการเรียนและด้านกีฬาอย่างสุดกำลัง” ถาวร เสนเนียม กล่าว

โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ บริหารโดยคุณพิมพ์จันทร์ เสนเนียม ทายาทของถาวร เสนเนียม 

นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ถาวร เสนเนียม ว่า…

“คณะผู้บริหาร Bloomsbury International School Hatyai โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ คณะนี้เข้าบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งผม นายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษา จนถึงขณะนี้ Bloomsbury International School Hatyai ได้รับรองการประเมินความเป็นมาตรฐานจาก 2 องค์กร คือ

1.มาตรฐานของสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565

2.มาตรฐานของ CIS (Council of International Schools) ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม 2565 (January 2022)

ซึ่งถือว่ามีคุณภาพในด้านการเรียนการสอนและการบริหารเป็นที่น่าพอใจยิ่ง

วิธีการตรวจสอบว่าโรงเรียนใด สามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้มาตรฐานหรือไม่ กฎหมายได้กำหนดให้มีการรับรองมาตรฐานเรียกว่าการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการติดตาม และตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ระบุไว้ในมาตรา 49 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือ สมศ. เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

เป้าหมายของการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม และโปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติ โดยให้มีเอกภาพเชิงนโยบาย ซึ่งสถานศึกษาสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้เต็มศักยภาพของสถานศึกษาและผู้เรียน ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา สร้างความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม และพลเมืองของโลก ตามเป้าหมายการศึกษาชาติ

สำหรับการประกันคุณภาพโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาตินั้น นอกจากจำเป็นต้องได้รับการประเมินและประกันคุณภาพจาก สมศ. แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับรองการประกันคุณภาพภายนอกจากองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์กรที่เป็นสากล เช่น CIS , WAS เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กร CIS ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการยืนยันว่าโรงเรียนแห่งนี้ สามารถจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ ทั่วโลก สร้างความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active citizen) มุ่งเน้นให้เป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ (Learner) อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก (well being) และสร้างความยั่งยืน (sustainable)”

‘การบินไทย’ จัดพิธีมอบรางวัลชนะเลิศให้กับ ‘นิสิตสถาปัตย์จุฬาฯ’ โครงการ ‘ออกแบบตกแต่งภายในห้องรับรองพิเศษ’ สนบ.สุวรรณภูมิ

เมื่อวานนี้ (13 พ.ย. 66) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดพิธีมอบรางวัลแก่ทีมชนะเลิศ ‘โครงการประกวดออกแบบตกแต่งภายในห้องรับรองพิเศษ สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ การบินไทย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างการบินไทยและคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางวรางคณา ลือโรจน์วงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่หน่วยธุรกิจการบิน นายชวาล รัตนวราหะ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการภาคพื้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผู้บริหาร คณาจารย์ นิสิตและแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ ห้องโถง อาคาร 1 ชั้น 1 สำนักงานใหญ่ การบินไทย ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

การบินไทย ในฐานะสายการบินแห่งชาติ เล็งเห็นถึงความสำคัญและต้องการสนับสนุนภาคสังคมและการศึกษาของประเทศไทย รวมทั้งเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ จึงได้ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้นิสิตได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ สร้างผลงานระดับประเทศผ่านองค์ความรู้ที่ได้รับจากสถาบันการศึกษา โดยเข้าร่วมประกวดการออกแบบตกแต่งภายในห้องรับรองพิเศษ สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ในแนวคิด ‘อัตลักษณ์ไทย’ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนการปรับปรุงห้องรับรองพิเศษเดิม หรือ Spa Lounge ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นห้องรับรองพิเศษแห่งใหม่ สำหรับให้บริการแก่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจของการบินไทย ที่สามารถตอบสนองความต้องการและมีความสะดวกสบายในการใช้งานของผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น และสร้างความประทับใจด้วยการออกแบบตกแต่งภายในใหม่ให้มีความสวยงามตามเอกลักษณ์ไทย โดยบริษัทฯ จะพิจารณานำผลงานที่ได้รับรางวัลไปปรับใช้ในการก่อสร้างจริงต่อไป

สำหรับ โครงการนี้ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนจากการบินไทย คณาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาตัดสิน โดยมีนิสิตร่วมส่งผลงานเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น 14 ทีม รางวัลชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 10,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน ‘WEAVING the memories’ ใน Concept : สานทอความทรงจำ โดย นางสาวพลอยขวัญ พิริยจิตรกรกิจ และนางสาวณิชชา เอี่ยมเกรียงไกร

‘ปลัด มท.’ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม 'โรงเรียนดรุณวิทยา' จ.น่าน ต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพเด็กระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

(14 พ.ย. 66) ที่โรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) อ.เมืองน่าน จ.น่าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการโรงเรียนสุขภาพดีระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (The AIA Healthiest Schools Regional Challenge (Primary School Category)) โดยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายวราพงษ์ เกียรตินิยมรุ่ง นายช่างใหญ่ กรมที่ดิน นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชูชีพ พงษ์ไชย นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยผู้บริหารกรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ นายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ 15 อำเภอ นายสุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาลเมืองน่าน หัวหน้าส่วนราชการ นางสาวนวพรรณ อินต๊ะวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) ร่วมให้การต้อนรับและนำตรวจเยี่ยม

โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมชมกิจกรรมดรุณฯ เพาะรักปลูกผักอินทรีย์ (Healthy Farm) เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ‘บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง’ กิจกรรมศูนย์การเรียนรู้ 3Rs พาพอเพียง (กิจกรรมการแปรรูปขยะ) กิจกรรมธนาคารโรงเรียน (กิจกรรมการออมทรัพย์) กิจกรรมส่งเสริมการสร้างสุขอนามัยให้แก่เด็กเติบโตอย่างถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานสุขลักษณะตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ชาวกระทรวงมหาดไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยจากทุกกรมได้มาศึกษาเรียนรู้ความสำเร็จของการจัดการศึกษาโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำผลสำเร็จนี้ไปขยายผลให้กับข้าราชการในหน่วยงานตลอดจนให้กับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กรมการปกครอง’ ที่มีกลไก ‘นายอำเภอ’ เป็นผู้นำของข้าราชการตลอดจนภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในพื้นที่อำเภอที่จำเป็นต้องมีองค์ความรู้ (Know-how) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ และในระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เป็นประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ที่ต้องอาศัยการเป็นผู้นำบูรณาการเสริมสร้างกระบวนการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับคนทุกช่วงวัย ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งมีหน้าที่ในด้านการเสริมสร้างมิติป้องกันสาธารณภัย ก็จะได้หาแนวทางในการขยายผลกิจกรรมดี ๆ ในด้านการป้องกันภัยที่โรงเรียนดรุณวิทยาได้ทำจนเกิดความสำเร็จ เช่น หมวกกันน็อค 100% ที่มีมานานแล้ว เพื่อไม่ให้ของดีมีน้อย แต่ต้องช่วยกันขยายสิ่งที่ดีให้เกิดประโยชน์และเกิดการขับเคลื่อนพร้อมกันทั่วทั้งประเทศ

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยที่มีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ปฐมวัย นั่นคือ ‘อาหาร’ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาร่างกาย สมอง จิตใจ อารมณ์ ของเด็กวัย 0 - 12 ขวบ ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตช่วงต้น โดยผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ต้องร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ความรู้กับคู่สมรสในการวางแผนการมีบุตร การดูแลทารกในครรภ์ เพื่อที่จะให้ได้รับการดูแลครรภ์อย่างถูกต้องตามหลักสาธารณสุข เพื่อที่เมื่อทารกเกิดมาจะได้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ขณะเดียวกันเราก็ต้องส่งเสริมสุขอนามัยด้วยการเติมเต็มให้เด็กได้มีสารอาหารเพื่อได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย และจิตใจ พร้อมสำหรับการเติบโตและการเรียนรู้ตามช่วงวัย โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นภูมิปัญญาการเลี้ยงดูบุตรที่ตั้งแต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ได้ใช้เป็นแนวทางเลี้ยงดูบุตรหลานที่ตรงกับหลักพัฒนามนุษย์ ทั้งให้เล่นดินเล่นทราย ปีนป่ายต้นไม้ โหนเชือก สไลเดอร์ เล่นขายขนมครก ทำกับข้าวที่กองทราย ฝึกความกล้าหาญ เล่นสะพานเชือก พัฒนากล้ามเนื้อ ทำให้เกิดพัฒนาการทางสมอง นั่นคือ การเลี้ยงดูลูกหลานให้อยู่กับธรรมชาติ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์ต่อลูก ๆ นักเรียนโดยเฉพาะเด็กเล็ก จึงขอเชิญชวนเทศบาลเมืองน่านได้ร่วมกับมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา เพิ่มพื้นที่ให้เด็กมีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งร่างกาย สมอง อารมณ์ จิตใจ วินัย จากการเล่น เพราะบริบทเด็กในเมืองไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วโรงเรียน โดยเทศบาลเมืองน่าน สามารถเปิดพื้นที่สาธารณะอื่นให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กได้

"ดีใจทุกครั้งที่ได้มาเห็นความสำเร็จของโรงเรียนดรุณวิทยาแห่งนี้ แต่ทว่าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ในฐานะผู้นำของพื้นที่ ผู้ทำหน้าที่ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องมีหน้าที่ที่สำคัญในฐานะ ‘คนที่เกิดมาก่อน’ ต้องคิดทำสิ่งที่ดี ช่วยกัน Change for Good โดยคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะพัฒนาลูกหลาน พัฒนาคน พัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาบ้านเมือง ให้ไปสู่ความดีที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการขวนขวายรักษาสิ่งที่ดี และการนำเอาสิ่งที่ดีกลับมา ด้วยการช่วยกันอุดช่องว่างที่อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านอาหารของเด็กขึ้นในโรงเรียนหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘อาหารกลางวัน’ ทางศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ (Thai School Lunch) โดยทางโรงเรียนสามารถสร้างพลังการมีส่วนร่วมทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเลือกเมนู ต้องวางระบบให้ครบทุกขั้นตอน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ได้แต่งตั้งทีมงานขึ้นมาสุ่มตรวจอาหารกลางวันตามโรงเรียนต่าง ๆ โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้า อันเป็นการป้องกันการทุจริต ไม่ให้เกิดเหตุดั่งภาษิต ‘วัวหายล้อมคอก’ และยังผลให้เด็กมีอาหารกลางวันที่มีมาตรฐาน และมีปริมาณเพียงพอเหมาะสม เฉกเช่นที่โรงเรียนดรุณวิทยาแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร กล่าวคือ เด็กต้องปลอดภัยจากสารเคมี สารพิษ ควบคู่การได้รับสารอาหารครบ เพราะในบริเวณโรงเรียนมีแปลงผักสวนครัว มีถังขยะเปียกลดโลกร้อน มีการคัดแยกขยะ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดผลสำเร็จและยั่งยืนได้ เราต้องทำให้ลึกซึ้งเกินโรงเรียน ลึกซึ้งเกินบ้าน โดยครูต้องยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้น ด้วยการมอบหมายให้เด็กไปฝึกฝน ให้เด็กเอาสิ่งที่คิดว่าทำแล้วดีไปทำที่บ้าน ไปใช้เวลาร่วมกับผู้ปกครอง ปรับพื้นที่โดยรอบบ้านให้เป็นแปลงผักสวนครัว ให้มีถังขยะเปียกลดโลกร้อน มีการคัดแยกขยะ พร้อมทั้งยุยงส่งเสริมให้เด็กเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงกบ เขียด เลี้ยงไก่ไข่ไว้มีไข่สำหรับบริโภค ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนจะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า สุดท้ายนี้ขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ส่งเสริมให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้จัดตั้ง ‘ธนาคารขยะ’ แล้วนำเงินจากธนาคารขยะมาให้ชุมชนจัดการเป็นสวัสดิการชุมชน เช่นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ที่ทุกวันนี้ประชาชนในพื้นที่ต่างช่วยกันคัดแยกขยะและนำขยะมาจำหน่ายที่ธนาคารขยะ กลายเป็นกองทุนสวัสดิการ ‘เพื่อนช่วยเพื่อน’ จากการที่ผู้คนเป็นมนุษย์ 3Rs ทั้งนี้ ถ้าเราร่วมกันทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ก็จะเกิดการ Change for Good ได้ เริ่มตั้งแต่พัฒนาคน รักษาสิ่งที่ดีงาม และรื้อฟื้นสิ่งที่ดีงามของประเทศ ของเมืองน่านให้กลับมา และอีกประการที่สำคัญ คือ ต้องทำให้เด็กกล้าแสดงออก และขอให้ทุกคนได้เชื่อมั่นว่า สิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นได้ด้วยการ Change for Good บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งที่ดีงามเอาไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ในสังคมแห่งความสุขที่ยั่งยืนตลอดไป

นายสุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน กล่าวว่า เทศบาลเมืองน่านมุ่งเน้นการพัฒนาคน เปลี่ยนคนสู่การเปลี่ยนเมือง 7.6 ตารางกิโลเมตร เพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนประเทศ ทำให้เมืองเป็นที่อยู่อาศัยและใช้ชีวิต โดยน้อมนำแนวทางการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยมุ่งพัฒนาเยาวชน นักเรียน และศูนย์เด็กเล็กที่มีคุณภาพ เพื่อเปลี่ยนคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เพื่อการเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนประเทศ ทั้งนี้ เทศบาลเมืองน่านให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรของเมืองที่มีค่าที่สุด คือ ‘คน’ จึงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาเมือง สร้างพลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) ให้เป็นพลเมืองคุณภาพ มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และสิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีทัศนคติ วิธีคิด เกิดความต้องการเรียนรู้ เปิดกว้างสำหรับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน พลเมืองมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มีวัฒนธรรมความปลอดภัย มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ยึดมั่นในความถูกต้อง ธรรมาภิบาล สร้างความสามารถในการทำงานเป็นทีม เข้าถึงและสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตามหลักภูมิสังคม

"เทศบาลเมืองน่าน มุ่งสร้าง ‘เด็กเล็กพัฒนาการดี’ เพื่อรากฐานที่แข็งแรงของชีวิต สร้าง ‘โรงเรียนดีใกล้บ้าน’ เพื่อนักเรียนคุณภาพ มีทักษะพร้อมทุกด้าน สร้าง ‘แหล่งเรียนรู้เพิ่มทักษะอาชีพ’ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้าง ‘เมืองแห่งการเรียนรู้’ ชุมชนแห่งปัญญา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง สร้าง ‘ทัศนคติด้านสุขภาพและวัฒนธรรมความปลอดภัย’ ให้แก่พลเมือง และสร้าง ‘การมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม’ เพื่อให้เมืองน่าอยู่" นายสุรพลฯ กล่าวเพิ่มเติม

นางสาวนวพรรณ อินต๊ะวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) กล่าวว่า โรงเรียนดรุณวิทยา เทศบาลเมืองน่าน (บ้านสวนตาล) เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีบุคลากร 30 คน นักเรียน 215 คน บริหารการศึกษาด้วยการมุ่งจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 บูรณาการกับการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการส่งเสริมความเป็นพลเมืองดีตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ ทำให้เด็กเป็น Active Citizen 5G คนดีที่มีความสุข ให้ความสำคัญการพัฒนาคนรอบด้าน เพราะสิ่งที่จะตอบโจทย์เป้าหมายการศึกษา คือ "ถ้าจัดการศึกษาดี SDGs ทุกข้อก็ประสบความสำเร็จ"

'แม่บุญล้ำ' หนุน 500,000 บาท ก่อสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ สานต่อภารกิจบริษัทฯ 'ดูแลสังคม-ส่งเสริมมาตรฐานชีวิตผู้คน' ให้ดียิ่งขึ้น

(14 พ.ย. 66) จิรวัฒน์ เดชาเสถียร ที่ปรึกษาธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย การตลาด และการจัดการค้าปลีกค้าส่งในภูมิภาคอาเซียน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

วันนี้ผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของคณะผู้บริหาร เพื่อนพนักงาน และลูกค้า บริษัท เพชรดำฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลาร้าตราแม่บุญล้ำ เพื่อส่งมอบเงินจำนวน 500,000 บาท ในการก่อสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้า

ผมเองในฐานะลูกพระจอมคนหนึ่ง ขอขอบพระคุณท่าน ศ.ดร สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งโครงการ และท่านศาสตราจารย์นายแพทย์อนันต์ ศรีเกียรติขจร ท่านคณบดี คณะแพทยศาสตร์ รวมถึงท่าน รศ.นายแพทย์ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และเทคโนโลยีสุขภาพ ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และเป็นกันเอง

ถามว่าทำไมเราเลือกที่นี่ คำตอบคือ รพ.แห่งนี้ จะเป็นโรงพยาบาลแห่งอนาคตที่จะสามารถผลิตเครื่องมือแพทย์ด้วยนวัตกรรมทางวิศวกรรมศาสตร์ที่ลาดกระบังไม่เป็นรองที่ไหนในฟ้าเมืองไทย     

ในขณะที่เราเองยังเดินหน้าช่วยพี่น้องในต่างจังหวัดซึ่งจะทยอยส่งมอบเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลต่อไปอีกสามโรงพยาบาลในปีนี้     

ทั้งนี้เป็นไปตามวิถีในการดำเนินธุรกิจของแม่บุญล้ำ ที่มุ่งมั่นที่จะดูแลสังคมและบุคคลรอบข้างให้มีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นตามลำดับ

อยู่กับองค์กรที่มีจริยธรรม อารมณ์ในการทำงานมันก็จะดีตามเช่นนี้นี่เองหละครับ มาช่วย ๆ กันนะครับ

‘กลุ่ม ปตท.’ จัดงาน ‘2023 Green Technology Expo’ โชว์นวัตกรรมเพื่อโลกอนาคต-จุดทุกพลังเพื่อสังคมที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน 2023 Green Technology Expo ภายใต้แนวคิด ‘Future Greenology นวัตกรรมสีเขียวแห่งอนาคต’ โดยมี นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นำทัพ กลุ่ม ปตท. ร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อโลกในอนาคต พร้อมเปิดเผยว่า การจัดแสดงนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ธุรกิจใหม่กลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย 

1. Green Mobility Zone ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า จากกลุ่มอรุณ พลัส อาทิ ผลิตภัณฑ์และบริการด้าน EV ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มของ อีวี มี ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ EV ในทุกมิติ เครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน นวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงานในธุรกิจแบตเตอรี่รวมถึงแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ จาก สวอพ แอนด์ โก 

2. Green Technology Zone การสร้างธุรกิจแห่งโลกอนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ผ่านธุรกิจพลังงานสะอาดและผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ จาก เมฆา วี การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรม จาก พีทีที เรส รวมทั้งเทคโนโลยีระบบการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงพยากรณ์ จาก พี-ดิกเตอร์ 

และ 3. Green Product Zone ผลิตภัณฑ์ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสังคมที่ยั่งยืน จาก อินโนบิก (เอเซีย) กลุ่มผลิตภัณฑ์โภชนาการและอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจรสนับสนุนวิถีการมีสุขภาพดีของคนรุ่นใหม่ จาก เอ็นอาร์พีที รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุเหลือใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน จาก มอร์ อีกด้วย

“ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สอดรับกับเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้คน และพร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศให้เติบโต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 9 - 12 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) Hall EH 98”

‘บุญรอดฯ - ปตท. - IRPC’ ร่วมพัฒนานวัตกรรมผลิตวัสดุหมุนเวียน มุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า - ต่อยอดธุรกิจเพื่อความยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ลงนามความร่วมมือพัฒนานวัตกรรมต่อยอดวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิต สร้างผลิตภัณฑ์หมุนเวียน (Returnable Equipment) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เดินหน้าโครงการนำร่องรีไซเคิลพลาสติกผ่านผลิตภัณฑ์ต้นแบบอย่างลังน้ำและโซดาขวดเปลี่ยน ผลิตจาก rPET และ rHDPE พาเลท (Pallet) ผลิตจาก rHDPE และกากมอลต์  

นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า หนึ่งในแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ให้ความสำคัญ คือ การดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ‘องค์กร ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมต้องมีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน’

ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในกลุ่มบริษัทบุญรอดฯ ทั้งหมด เช่น เสื้อยูนิฟอร์มพนักงานจากผ้าที่ผลิตจากขวด PET การแยกขยะ การใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนโครงการที่ทำกับชุมชนและสังคมอีกหลายโครงการ และล่าสุดได้ร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นของไทยที่เป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่นทั่วโลกอย่าง PIPATCHARA ดีไซน์กระเป๋ารุ่นพิเศษที่ผลิตจากผ้าที่ Upcycling มาจากขวดพลาสติก PET 100% 

ทั้งนี้ ในแต่ละปี เรามีวัสดุเหลือจากระบวนการผลิตเป็นจำนวนมาก น่าจะสามารถนำมาสร้างประโยชน์ต่อยอดได้อย่างคุ้มค่า จึงเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือกับบริษัทฯ ปตท. และ ไออาร์พีซี ในครั้งนี้ เราเชื่อว่า ด้วยความรู้ความชำนาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของทั้งแต่ละบริษัทฯ จะสามารถร่วมกันพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่จากวัสดุในกระบวนการผลิตให้เป็นประโยชน์มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ยึดมั่นในพันธกิจรักษาความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่านการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 โดยส่วนหนึ่งได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานให้เกิดเป็นรูปธรรม มุ่งปฏิวัติรูปแบบการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดปริมาณของเสียตลอดกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และรักษาสิ่งแวดล้อม 

ความร่วมมือในครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. โดย PRISM (Petrochemical and Refining Integrated Synergy Management) แพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ผลักดันให้เกิดการผสานองค์ความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรจากทั้ง 3 หน่วยงาน นำวัสดุเหลือใช้ ในกระบวนการผลิตมาต่อยอดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ และเจตนารมย์องค์กรชั้นนำของไทย ที่จะจุดพลังและขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนอนาคตที่ดีให้แก่โลกได้อย่างยั่งยืนต่อไป

นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า IRPC ดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว” ด้วยการใช้นวัตกรรมสร้างการเติบโต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการนี้ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและใช้ประโยชน์ของทรัพยากรอย่างสูงสุด โดยบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว ประเภทใช้ครั้งเดียวสู่ผลิตภัณฑ์หมุนเวียน ผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์ “POLIMAXX” สร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งในกลุ่มรีไซเคิลและพลาสติกที่มีพืชเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต (Bio-Based) ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ตามโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) 

นอกจากนี้ IRPC ยังได้ร่วมผลักดันการสร้างความสมดุลและความยั่งยืน หรือ ESG โดยตั้งเป้าหมายและกำหนดแนวทางองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero Emission ภายในปี 2603 เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน 

นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจภายใต้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนของบริษัทไทย ชั้นนำอย่าง บุญรอดบริวเวอรี่ ปตท. และ ไออาร์พีซี ที่จับมือพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยกระดับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์หมุนเวียนจากวัสดุเหลือใช้ภายในโรงงาน ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่กำหนดไว้ในปี 2608 ได้ต่อไป

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรสถาบันวิทยสิริเมธี พร้อมติดตามการพัฒนาธุรกิจ ‘กลุ่ม ปตท.’ ณ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง

(7 พ.ย. 66) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิทยสิริเมธี ระดับดุษฎีบัณฑิตและมหาบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 35 ราย พร้อมพระราชทาน ‘ทุนพระราชทานศรีเมธี’ แก่นิสิตที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม จำนวน 4 ราย และพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้แทนนักเรียนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ที่สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประจำปีการศึกษา 2565 โดยมีนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมคณะผู้บริหารจากกลุ่ม ปตท. ร่วมกับผู้บริหารสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ เฝ้าฯ รับเสด็จฯ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ จึงร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 ในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ปัจจุบัน สถาบันวิทยสิริเมธี ประกอบไปด้วย ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า และ 4 สำนักวิชา ได้แก่ สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สำนักวิชาวิทยาการพลังงาน สำนักวิชาวิทยาการชีวโมเลกุล สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพสูงด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม และส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาและวิจัยในการสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อร่วมสร้างการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และส่งเสริมความยั่งยืนแก่สังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ

สำหรับโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ในปีการศึกษา 2565 มีนักเรียนรุ่นที่ 6 สำเร็จการศึกษา จำนวน 69 คน แบ่งเป็นนักเรียนที่ได้ศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) จำนวน 48 คน ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและอื่น ๆ จำนวน 21 คน โดยได้รับทุนศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ และได้รับทุนการศึกษาจากสถาบันวิทยสิริเมธีเพื่อศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยี ระดับปริญญาตรีภายในประเทศด้วยเช่นกัน

ในวันเดียวกัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินไปยังสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี จัดตั้งจากการสนับสนุนของธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ติดตามความก้าวหน้าด้านงานวิจัยและพัฒนา พร้อมทอดพระเนตรห้องปฏิบัติการและนิทรรศการผลงาน เช่น ห้องปฏิบัติการวิจัย Wangchan Advanced Industrial Labs โครงการกลุ่มวิจัย Interfaces Lab โครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โครงการกลุ่มวิจัย Brain Lab เป็นต้น 

ต่อมาทรงทอดพระเนตรผลงาน โรงเรือนสาธิตเทคโนโลยีชีวภาพ ที่นำเสนอภาพรวมโครงการเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อ Net Zero เกษตรยั่งยืน และอาหารปลอดภัยรวมถึงโครงการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอุตสาหกรรมชีวภาพและชุมชนที่ยั่งยืน จ.น่าน ที่นำโครงการต้นแบบไปพัฒนาสู่การใช้งานจริงในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านนวัตกรรมของวังจันทร์วัลเลย์และกลุ่มธุรกิจใหม่ ปตท. ณ ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center : IOC) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทรงทอดพระเนตรการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจใหม่ ปตท. โดยขับเคลื่อนจากการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใน 4 ด้าน ได้แก่…

1.ด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่ม ปตท. ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายใน พ.ศ.2593 (ค.ศ.2050)
2.ด้านนวัตกรรมเพื่อยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่โลกแห่งยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร มุ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในระดับสากล 
3.ด้านนวัตกรรมเพื่อโลกยุคใหม่ (AI and Robotics) มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์ในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและขยายขีดความสามารถสู่สากล 
4.ด้านนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตและสังคม (Life Science) สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน ผ่านการดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจยา กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ และ กลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ 

อนึ่ง โครงการนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ โครงการวังจันทร์วัลเลย์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง บนพื้นที่ 3,454 ไร่ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จะพัฒนาพื้นที่โครงการฯ ให้มีระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ในระดับชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯ ทรงเปิด ‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์พืช ใน จ.ระยอง

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศูนย์เลิศพนานุรักษ์ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง โดยมีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), นายวุฒิกร สติฐิต ประธานกรรมการ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด, นายรัตติกูล ปิยะวงค์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด พร้อมข้าราชการและคณะผู้บริหารเฝ้ารับเสด็จฯ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เปิดเผยว่า ศูนย์เลิศพนานุรักษ์ สร้างขึ้นในพื้นที่สถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด   แห่งที่ 2 โดย บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานและพื้นที่สีเขียวของชุมชนในจังหวัดระยอง โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานชื่อศูนย์การเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์พืชในนาม ‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ หมายถึง ศูนย์เรียนรู้อันเป็นเลิศด้านการอนุรักษ์ป่า และทรงพระราชทานชื่ออาคารโดมจัดแสดงพืชเมืองหนาวว่า ‘อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา’ หมายถึง อาคารจัดแสดงพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณศูนย์เลิศพนานุรักษ์แห่งนี้ โดยพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญพระอักษรพระนามาภิไธย ‘ส.ธ.’ ประดับที่ป้ายชื่อทั้งสองอาคาร ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563

‘ศูนย์เลิศพนานุรักษ์’ พัฒนาพื้นที่โครงการบนพื้นฐานของการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมของภูมิทัศน์โดยรอบ จึงออกแบบให้มีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีป่าและพื้นที่ชุ่มน้ำประเภทต่าง ๆ สอดคล้องกับระบบนิเวศดั้งเดิมของจังหวัดระยอง พร้อมสะท้อนแนวคิดหลักของการประสานกันอย่างลงตัวระหว่างอุตสาหกรรม ธรรมชาติ และชุมชน รวมไปถึงการใช้พลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่โครงการ และมี อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา เป็นพื้นที่จัดแสดงไม้เมืองหนาวที่ปลูกและดูแลรักษาให้เจริญเติบโตจากการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากกระบวนการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LIQUEFIED NATURAL GAS (LNG) มาใช้ในการปลูกไม้เมืองหนาว เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพต่อยอดด้านการเกษตร อาทิ ดอกทิวลิป ดารารัตน์ ไฮเดรนเยีย ได้อย่างมีคุณภาพ มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดแสดงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามแต่ละเดือนและเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการคืนประโยชน์ให้แก่สังคมและเสริมสร้างการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดระยอง ปัจจุบันมียอดผู้เข้าเยี่ยมชมสะสม ณ เดือนกันยายน 2566 จำนวน 273,440 ราย (ข้อมูลระหว่างวันที่ 3 มกราคม - 22 กันยายน 2566)

‘น้องอิน-น้องเอม’ 2 พี่น้องเยาวชนไทยหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ริเริ่มโครงการอิ่มท้องน้องเต่า ช่วยชีวิตเต่าทะเล

จากโลกยุคสมัยใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยีอนาคตเข้ามาและขยายวงกว้างขึ้นจนผู้คนห่างเหินธรรมชาติ สัตว์ป่าสัตว์ทะเลเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เกาะติดวัตถุนิยมกันมากกว่าใช้ชีวิตสัมผัสกับธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้รักและหวงแหนธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เด็กหรือเยาวชนไม่สนใจเลย เช่น นายอริณชย์ หรือน้องอิน ทองแตง อายุ 16 ปี และ ด.ญ.อริสา น้องเอม ทองแตง อายุ 14 ปีสองพี่น้องที่ถือได้ว่าเป็นเยาวชนหัวใจนักอนุรักษ์ ที่ร่วมกันทำโครงการชื่อ Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)

โดยการเชิญชวนพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของเต่าทะเลจาก 0.1% กรณีที่ปล่อยไปตามธรรมชาติให้สูงขึ้นถึง 70% ปัจจัยหลักในการมีชีวิตรอดคือไม่ตกเป็นเหยื่อสัตว์นักล่าอื่น ๆ ซึ่งโอกาสรอดจะอยู่ที่ขนาดและน้ำหนักที่เหมาะสมของลูกเต่าทะเล ซึ่งน้ำหนักต้องไม่ต่ำกว่า 2 กิโลกรัม และความยาวไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร ขณะปล่อยคืนสู่ท้องทะเล

นายอริณชย์ เปิดเผยว่า เกิดจากพวกตนสองพี่น้องมีความชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะเต่า ที่บ้านจะเลี้ยงเต่า ทั้งเต่าบก และเต่าน้ำจืด ประกอบกับเมื่อปีที่ผ่านมาคุณแม่ได้พาไปเกาะมันใน จ.ระยอง  เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล แห่งแรกของประเทศไทย พอได้ไปเจอและรับทราบถึงปัญหาของเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ที่กำลังเป็นวิกฤติระดับโลก รวมถึงเรื่องของการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกเต่าหลังฟักออกมาจากไข่ ซึ่งทางผอ.ศูนย์วิจัยชายฝั่งทะเลฯ ตอนนั้นบอกอยากได้เงินมาอุดหนุนเพิ่มเติมมาอนุบาลเต่า ตรงนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’

นายอริณชย์ เผยอีกว่า ส่วนที่ชื่นชอบเต่าทะเลเพราะชอบและแปลกใจที่เต่าทะเลเกิดมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ อายุ 110 ล้านปี ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์เพราะไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้วแต่เต่ามันสามารถมีอายุยืนและปรับตัวจนกระทั่งอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นอะไรที่น่าพิศวงเลยทำให้สนใจ โดยเฉพาะเต่าทะเล มีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศใต้น้ำมาก อย่างอาทิที่ชอบกินแมงกะพรุน กินในจำนวนที่มาก ๆ ก็จะคุมระบบนิเวศไม่ให้มีแมงกะพรุนมากเกินไป ช่วยกินหญ้าทะเล เป็นควบคุมปริมาณหญ้าทะเล เพราะหากมีมากเกินไปก็จะมีผลต่อระบบน้ำทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นได้ นอกจากนั้นยังช่วยกินพวกฟองน้ำแถว ๆปะการังทำให้ตัวปะการังไม่โดนเบียดเบียนพื้นที่ทำให้เติบโตได้อย่างสวยงาม ทำให้ระบบใต้น้ำมันสมดุลย์ อีกอย่างการที่มันกินทุกอย่างเสร็จแล้วมันก็จะว่ายน้ำไปทั่วแล้วไปขยายพืชพันธุ์อย่างหญ้าทะเล ฟองน้ำในพื้นที่อื่นให้มีการเจริญเติบโตอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีก

ด้านด.ญ.อริสา เผยว่า รู้สึกดีใจภูมิใจที่ผู้ใหญ่ให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของโครงการ ได้มีโอกาสเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยท่านบอกชื่นชมเยาวชนเด็กรุ่นใหม่ที่มีจิตอาสาสนใจประโยชน์ส่วนรวม สิ่งแวดล้อม แล้วมาแอคทีฟ เปิดโครงการแบบนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแม้จะเป็นโครงการที่ไม่ใหญ่ แต่ท่านก็มองว่าการที่เด็ก ๆ ขึ้นมาคิดทำสิ่งนี้แบบทำเองโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียน ทำให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ตระหนักสนใจในเรื่องของสภาพสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันนี้ จึงมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงทรัพย์ฯ อยากจะสนับสนุนเยาชนให้เยอะเกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร

ด.ญ.อริสา ยังเผยอีกว่า ทั้งนี้ท่านยังได้ถามด้วยว่าอยากให้กระทรวงฯช่วยเรื่องอะไรมากขึ้น ได้บอกไปว่าอยากให้ทางกระทรวงเพิ่มความตระหนักรู้ เพิ่มความเข้าใจในเรื่องของการดูแล รักษาเต่าทะเลให้กับประชาชนให้มากขึ้น เพราะมองว่าตอนนี้คนเข้าใจผิดว่าการปล่อยลูกเต่าทะเลตัวเท่าเหรียญบาทคืนสู่ท้องทะเลเป็นการทำบุญ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ กลับกลายเป็นการทำบาปเพราะปล่อยไปอย่างไรก็ตาย จึงอยากให้ทางกระทรวงฯช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนว่าถ้าจะให้เต่าทะเลรอดชีวิตได้ จำเป็นต้องเป็นอย่างไร ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการอิ่มท้องน้องเต่าของพวกตน คือต้องอนุบาลเต่าทะเลให้ได้ขนาดและน้ำหนักตามที่ต้องการคือ 2 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย หรือมีขนาดความยาว 30 ซม. หรือเลี้ยงประมาณ 200 วัน ก่อนปล่อยสู่ทะเ

“เพราะเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงร่วมกันคิดโครงการขึ้นมาเพื่อเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูลูกเต่าทะเล ให้มีขนาดน้ำหนัก ความยาวตามความเหมาะสม ก่อนปล่อยคืนสู่ทะเลเพื่อความอยู่รอด โดยค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกเต่าจนได้ตามขนาดที่ต้องการ เป็นค่าอาหาร และค่ายา ในการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว เฉลี่ยตัวละ 30 บาทต่อวัน หรือ 6,000 บาทต่อตัว ตลอดระยะเวลาประมาณ 200 วัน เพื่อให้น้อง ๆ แข็งแรงพอที่จะกลับคืนสู่บ้านใต้ท้องทะเลอีกครั้ง โดยจะนำเงินบริจาคส่งมอบให้กับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งภาคใต้กระทรวงทรัพยากร เพื่อนำไปใช้เป็นค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว ต่อไป” ด.ญ.อริสา ระบุ

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมสนับสนุนโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’ - Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles ผ่านเว็บไซต์ เทใจ เพื่อคืนความสมดุล ของห่วงโซ่อาหารในโลกใต้ทะเลได้ที่ https://taejai.com/th/d/below-the-tides-zero-starving-sea-turtles_an/


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top