Tuesday, 23 April 2024
THESTUDYTIMES

เสรีภาพที่แตกต่าง ความกร่าง 'ม็อบไทย' แหกกฎเกณฑ์ทุกการชุมนุม

จะว่าไปไทยนี่แหละที่ประท้วงได้อย่างเสรีทุกที่ทุกเวลา ใครอยากประท้วงก็ปลุกระดมออกไปปิดถนน ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดและมีขอบเขตข้อบังคับ แต่ดูเหมือนว่าการประท้วงที่ผ่านมาของคนบางกลุ่มจะไม่แยแสใด ๆ ต่อกฎหมายที่มีเลยแม้แต่น้อย

.

คนไทยบางกลุ่มชอบเปรียบเทียบไทยกับบางประเทศที่พัฒนาแล้วในซีกโลกตะวันตก รวมทั้งบางประเทศในเอเชีย อย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ งั้นลองมาดูกฎและข้อห้ามในการประท้วงก่อม็อบในสิงคโปร์กันบ้างว่ากำหนดไว้อย่างไร 

.

หากดูระเบียบการประท้วงในสิงคโปร์แล้ว จะเห็นว่าเข้มงวดกว่าบ้านเรามาก เพราะไม่สามารถแบกป้ายด่าทอลงถนนแบบเรา หากต้องไปจัดในบริเวณที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้เท่านั้น นั่นคือ สปีกเกอร์ คอนเนอร์ ที่ตั้งอยู่ภายในสวน Hong Lim Park

.

ที่นี่คือสถานที่เดียวที่อนุญาตให้คนสิงคโปร์และผู้ที่ถือบัตรพำนักถาวร ใช้เป็นสถานที่รณรงค์ จัดแสดงนิทรรศกาล รวมถึงการประท้วงได้อย่างถูกกฏหมาย เปิดให้ใช้พื้นที่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 2000 โดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาล แต่ต้องลงทะเบียนแจ้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่สถานีตำรวจ Kreta Ayer Neighbourhood Police Post  ล่วงหน้า  30 วัน 

.

แต่กระนั้นยังมีกฎระเบียบหยุมหยิมอีกมากมาย เช่น ต้องจัดกิจกรรมระหว่าง 07.00น.-19.00น. ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงทุกชนิด ห้ามคนต่างชาติเข้าร่วม คนที่ประท้วงได้ต้องเป็นพลเมืองสิงคโปร์เท่านั้น ห้ามติดป้ายหรือข้อความที่สื่อถึงความรุนแรง ส่อเสียด และลามกอนาจาร ที่สำคัญอีกข้อคือต้องใช้ภาษาสี่ภาษา นั่นคือ อังกฤษ, มาเลย์, จีน และทมิฬ 

.

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ขนาดประท้วงคนเดียวยังโดนจับได้ เคยมีกรณีหนึ่งเกิดขึ้น นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งประท้วงโดยไม่ขออนุญาต ด้วยการยืนอยู่นอกสถานีตำรวจ ถือป้ายที่มีใบหน้ายิ้มคนเดียว ทางการตั้งข้อหาว่ามีส่วนร่วมในการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากถูกตัดสินว่ามีความผิด จะถูกปรับสูงถึง 5,000 เหรียญสิงคโปร์ ราว 112,880 บาท

.

หันมาดูบ้านเราบ้าง การประท้วงทุกครั้งไม่เคยอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ลากยาวไปเป็นวันๆ หรือหลายเดือนอย่างที่เห็นอยู่เสมอ ส่วนเรื่องห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ก็ดูเหมือนไม่มีใครทำตามในไทย เรื่องห้ามคนต่างชาติเข้าร่วม บางทีเราได้เห็นคนเขมรหรือเมียนมาเนียนมาร่วมบ่อยๆ โดยเฉพาะการประท้วงของกลุ่มสามนิ้ว ข้อห้ามใช้ถ้อยคำลามกหรือส่อเสียด แต่การประท้วงในไทยเกลื่อนไปด้วยถ้อยคำด่าทอหยามหมิ่นสถาบันอันเป็นเสาหลักในประเทศอย่างลามกหยาบคายจนขนลุก เรื่องภาษานั้นก็เห็นแสดงออกทุกภาษา เวลามีการประท้วงก็มีคนโบกธงต่างชาติหรือถือป้ายภาษาต่างๆ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับจุดประสงค์ในการประท้วงเลย

.

ส่วนเรื่องการจำกัดพื้นที่ให้ประท้วงแค่ในสวนสาธารณะ แทบทุกม็อบไม่เคยทำได้ มีการเลื่อนไหลไปสร้างความเสียหายตามถนนหนทางและบ้านเรือนประชาชนอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วก็น่าตลก  อยากมีสังคมอารยะ แต่ไม่เคยทำตามได้ตามแบบประเทศเหล่านั้น

.

นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งประท้วงโดยไม่ขออนุญาต ด้วยการ ยืนอยู่นอกสถานีตำรวจ ถือป้ายที่มีใบหน้ายิ้มคนเดียว ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนร่วม ในการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิด จะถูกปรับสูงถึง 5,000 เหรียญสิงคโปร์ ราว 112,880 บาท 

.

ล่าสุดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ ออกไอเดียให้มาประท้วงช่วงเอเปคที่ลานคนเมือง โดยกล่าวว่าเรามีพื้นที่ให้ได้แสดงออก และถ้าอยู่ในกรอบเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สวยงามที่เราจะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เป็นสิ่งที่ดี หากอยู่ในพื้นที่ 'ลานคนเมือง กทม.' จะเป็นผู้ดูแล ถ้าชุมนุมอยู่ในพื้นที่อื่น ฝ่ายความมั่นคงดูแล

.

งั้นขอถามกลับว่าที่ผ่านมา ม็อบทำได้ตามที่ชัชชาติพูดไหม ภาพจำแถวดินแดงยังติดตาไม่หาย หรือถ้าอยากเอาอย่างสิงคโปร์ อยากย้ายไปอยู่ที่นั่นก็ได้นะ เจอคดีรัวๆ พร้อมต้องจ่ายเงินก้อนโต อาจจะตาสว่างกว่าเดิม 

ดึงสติเด็ก ๆ ก่อนโดนใส่ตรวน คิดป่วน APEC จุดจบอยู่ที่คุก

ยังเจ็บไม่พอ จะขออีกสักทีหรือไง..ย้อนรอย 10 ปีล้มการประชุมอาเซียน 

.
ในขณะที่คนไทยทุกคนต่างตื่นเต้นกับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่คนกลุ่มหนึ่งกลับวางแผนการและระดมพล เพื่อขัดขวางไม่ให้การประชุมในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น  

.

การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามนิ้ว เพื่อขัดขวางการประชุมปรากฎในเพจสำนักข่าวราษฎร กลุ่มราษฎรหยุด APEC2022 นำโดยสมบูรณ์ กำแหง, ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ว่าจะจัดการชุมนุมคู่ขนานการประชุม APEC 2022 โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีไร้ความชอบธรรม ไม่คู่ควรเป็นประธานเอเปค หยุดอ้างเอเปคเพื่อผลักดันนโยบายสร้างหายนะแก่ประชาชน และมีข้อกล่าวหาตามมาอีกมากมาย แต่สรุปคือกลุ่มนี้จะก่อม็อบในช่วงที่มีการประชุมเอเปกนั่นเอง 

.

การแถลงข่าวของแกนนำสามนิ้วกลุ่มนี้จัดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยมีแนวร่วมอย่าง Amnesty International Thailand เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือระดมพลเรียกให้ชาวเมียนมาในไทยออกมาประท้วงในการประชุมเอเปกหนนี้ มีการพ่วงโยงเข้ากับสถานการณ์ในพม่า และร่วมลงชื่อ เพื่อนำรายชื่อไปยื่นให้กับรัฐบาลไทย โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหาแนวทาง “หยุดการนองเลือดในเมียนมา” 

.

รัฐบาลเมียนมาถึงกับออกประกาศเตือนชาวเมียนมาในไทยห้ามเคลื่อนไหวในช่วงการประชุม APEC 2022 นับเป็นการแตะเบรกเรื่องนี้ทันทีทันควัน  

.

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงต้องมีการโยงเรื่องเมียนมาด้วย อเมริกานั้นหนุนหลังม็อบพม่าผ่านเอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวในไทย การเคลื่อนไหวของ NGO สายพันธุ์เมียนมา ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทย ที่มักรายงานความเคลื่อนไหวและกิจกรรมในเมียนมาต่อผู้สื่อข่าวตะวันตก โดยใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดแถลงข่าว  

.

เงินบริจาคจากบางองค์กรตะวันตกไหลเข้ามาทางประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจกรรมที่จัดขึ้นในเมืองไทยหรือไหลไปชายแดน ขั้นตอนที่งบประมาณผ่านทางเมืองไทยนี่แหละ ที่ NGO สายพันธุ์ไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม หรือประสานงานให้กิจกรรมเกิดขึ้นมา พอมองเห็นภาพแล้วใช่ไหมล่ะ

.

คนเหล่านี้ไม่เคยคิดถึงผลเสียต่อประเทศชาติ เหมือนไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ม็อบเสื้อแดงบุกล้มการประชุมนานาชาติอาเซียนที่พัทยา แม้จะผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าคนไทยทุกคนยังไม่ลืมเลือน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นทำลายภาพลักษณ์ของชาติอย่างย่อยยับ 

.

เริ่มต้นที่ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ เลขาธิการ นปช. ซึ่งเป็นแกนนำในการชุมนุม สั่งการให้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรองนำมวลชนบุกล้มการประชุมอาเซียน โดยเปิดเผยว่าได้เงินมาจากณัฐวุฒิ ใสเกื้อจำนวน 180,000 บาท เพื่อล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาในปี 2552

.

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้นสั่งยุติการประชุม ทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มเปิดการประชุม และเชิญผู้นำอาเซียนทั้งหมดเดินทางกลับทันที ส่วนแกนนำ นปช. ที่พามวลชนบุกเข้าไปวันนั้น ถูกศาลจังหวัดพัทยาตัดสินจำคุก 13 คน ในปี 2558 

.

แกนนำนปช.จำนวน 13 คน ที่ศาลจังหวัดพัทยาตัดสินจำคุก ประกอบด้วย 1. นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง 2. นายนิสิต สินธุไพร 3. นายพายัพ ปั้นเกตุ 4. นายวรชัย เหมะ 5. นายวันชนะ เกิดดี 6. นายพิเชฐ สุขจินดาทอง 7. ศักดิ์ดา นพสิทธิ์ 8. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (อาภารัตน์) 9.นายนพพร นามเชียงใต้ 10. นายสำเริง ประจำเรือ 11. นายสมยศ พรหมมา 12. นพ.วัลลภ ยังตรง 13. นายสิงห์ทอง บัวชุม 

.

แต่ภาพพจน์ของประเทศไทยที่เสียหายอย่างใหญ่หลวงในครั้งนั้น ยากที่จะกอบกู้คืนกลับมาในสายตาชาวโลกได้โดยง่าย การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติจากประชาคมโลกครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะลบล้างทุกคำครหาในอดีต และเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยก้าวสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ถอยหลังเข้าสู่วังวนความแห่งความขัดแย้งเช่นในอดีตอีกต่อไป 

เมื่อคนถิ่นออกปาก "ประเทศนี้ไม่มีอะไรให้หวังอีกแล้ว"

เมื่อเร็ว ๆ นี้ โลกออนไลน์ได้แชร์คลิปวิดีโอ (https://fb.watch/gINmbtDpUc/) ของ ‘น้องแตงโม’ หรือ ‘จูเลียน’ หนุ่มหล่อชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในไทย กว่า 5 ปี ผู้มีพื้นเพเป็นชาวเมืองซานฟานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเขาชื่อเล่น ‘แตงโม’ ให้กับตัวเอง เพราะเรียกง่าย พร้อมเล่นมุกว่า "ไม่อยากเป็นฝรั่งแล้ว อยากเป็นแตงโมแทน" จนกลายเป็นที่ติดตามของคนไทยในโลกโซเชียลเป็นจำนวนมาก

.

โดยคลิปดังกล่าวพาดหัวข้อว่า ‘แตงโมรู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาไทยหลังจากกลับไปเมกามา 2 เดือน’ ซึ่งในคลิปนั้นมีการพูดถึงความรู้สึกของ แตงโม ที่ทำให้เขารู้สึกหมดหวังกับการใช้ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิด และมองว่าประเทศไทย สังคมไทย คนไทย เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว

.

ถามว่าคิดถึงไหม คิดถึงแน่นอน เพราะไม่ได้กลับอเมริกามา 4 ปี แต่ว่ารอบล่าสุดที่โมกลับอเมริกา กูว่าไม่มีความหวังกับประเทศกูแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ยังมีหวังอยู่นิดนึง แต่กลับไป กูได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง แบบทำไมเป็นอย่างงี้วะ

.

เป็นเพราะว่า ล่าสุดอยู่อเมริกา กูยังเด็ก กูยังไม่รู้เรื่องอะไร หรือว่าเพราะเป็นบ้านเมืองแย่ลง ก็มีส่วนแหละ

.

ผู้นำตอนนี้ก็หลาย ๆ เรื่อง เรื่องการเมือง เรื่องค่าครองชีพ อาหารก็แพง ที่ไทยก็แพงขึ้น แต่ที่อเมริกาก็แพงขึ้นหลาย ๆ เท่า 

.

อย่างที่บ้านกู เอาง่าย ๆ โจรก็เยอะขึ้น ค่ารองชีพก็แพงขึ้น กฎหมายก็เข้มขึ้น คนไร้บ้านก็เยอะขึ้น เหมือนความยุติธรรม ความเสรีที่เป็นของอเมริกา (Freedom) มันแทบจะไม่มีแล้ว 

.

อันนี้เราพูดถึง แคลิฟอร์เนีย หรือ นิวยอร์ก หรือพวกรัฐใหญ่ ๆ ดัง ๆ จะแย่กว่ารัฐกลาง ๆ ที่ยังมีความ slow life อยู่ แต่เชื่อเถอะว่า อีกไม่นาน ทุกรัฐก็จะแย่ตาม เพราะแต่ละรัฐมีผู้นำแยกกันไปอีก 

.

เอาเป็นว่า กูไม่มีความหวังกับประเทศกูแล้ว มันไม่น่าอยู่เลย บ้านกูอ่ะ กลับกันไม่มีอะไรที่กู ทำในไทยไม่ได้ เผลอ ๆ ในไทยอาจจะมีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า ไทยเสรีกว่า น่าอยู่มาก

.

กูไม่เอ่ยชื่อนะ มีรุ่นพี่อยู่คนนึง ไปมาหลายประเทศแล้ว เขาพูดอังกฤษได้ เขาพูดไทยได้ เขาก็เก่งแล้ว เขาก็ไปหลายที่ เขายังบอกอยู่ว่า ประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้ว

.

เขาเคยไปอเมริกา เขาบอกว่า อเมริกาไม่เหมือนอย่างที่คิด ไม่เห็นอย่างที่เหมือนใน Social พวก YouTuber ที่ไปถ่าย สุดท้ายเขาบอกว่า ประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้ว

.

คนอเมริกาเขาเก่ง ฝรั่งเขาเก่ง สิ่งที่เห็นใน Social เป็นด้านแบบ โลกสวย!!

.

ส่วนคนไทยที่ไป Work and Travel อยู่กับ Agency ก็จะอยู่กับคนไทย และทำงานร้านอาหารไทย เค้าจะอยู่แบบรัฐกึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งความจริงในความคิดเห็นส่วนตัว คุณไม่ได้ Experience อเมริกาของจริง มันก็เหมือนกับ ฝรั่งที่ย้ายมาอยู่ไทยแล้วอยู่สุขุมวิท ก็อยู่แต่ตรงนั้น หรือ พัทยา คือ เขาอยู่แค่ตรงนั้น จะไม่ได้สัมผัสกับ Culture ที่แท้จริงของอเมริกา

.

แต่ถ้าลองไปอยู่จริง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะคิดเหมือนกัน คือ คุณจะคิดถึงไทย เพราะตอนผมกลับไปค่าครองชีพตกวันละ 60-100 เหรียญ ผมใช้เงินวันละร่วม 3 พันบาท แต่อย่าไปอ้างว่าที่นั่นให้เงินเดือนเยอะนะ มันไม่เกี่ยวกันเลย ตอนนี้มันแพงจริง แต่ก่อนข้าวจานนึงแค่ 10 เหรียญ ประมาณ 200 – 300 บาท อันนั้นเข้าใจ เอาเป็นว่าอยู่เมืองไทยเงิน 1 พันบาท กูอยู่ได่ 2-3 วัน

.

เอาง่าย ๆ ตอนนี้ ขนาดคนอเมริกายังเดือดร้อน อย่างคนบ้านกูอ่ะ คนย้ายออกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ไปรัฐอื่น ที่ภาษีลดลง แต่ทุกรัฐจะพังทลายไปหมด เชื่อกูดิ กูมั่นใจอีก 5 ปี นอกจากเปลี่ยนผู้นำ คนที่ไม่ใช่ ‘ไบเดน’ คนที่ดีกว่านั้น กูพูดงี้เลย ไปเที่ยวยุโรปก่อน 

.

ฉะนั้นสำคัญคนไทยที่อยากไปอเมริกา ก็พูดยาก ถ้าอยากหาประสบการณ์ที่อเมริกา เพื่อที่จะฝึกภาษา หาเพื่อนใหม่ หางาน มันก็ได้แหละ แต่ความเป็นจริง คุณต้องนึกถึงตั้งหลายอย่าง เรื่องความปลอดภัยของคุณ ที่อเมริกา ก็ไม่ได้ปลอดภัยตอนนี้

.

คุณต้องวางแผนให้ได้ว่า 1 วันต้องทำอะไรบ้าง ทำงานอะไร และมีเพื่อนด้วย ไม่ใช่ว่าเดินโง่ ๆ ไปหาเพื่อนแล้วเที่ยว มันอันตราย คุณต้องนึกถึงคนแถวนั้นว่าเค้าอะไรยังไง ไม่ใช่ว่า อยู่ ๆ มีคนไร้บ้านมาทักทาย ซึ่งจริง ๆ มันมาขอเงิน แล้วมากระทืบเรา พอแจ้งตำรวจ ตำรวจก็ไม่มาช่วยก็มีคนเข้าใจว่า อเมริกานี่ดี เสรี เช่น บางเรื่องเห็นฝรั่งทำ แล้วไม่เห็นเป็นไรเลย ก็อยากทำบ้าง พอทำไม่ได้ก็เป็นประเด็นเรียกน้อง อันนี้ กูขอร้องเลย คนไทยทำถูกแล้ว อันนี้เป็นฝรั่งพูดเองนะ คุณทำถูกแล้ว Culture วัฒนธรรมคุณทำถูกแล้ว บางอย่างคุณเห็นใน Social เค้าทำกัน แล้วคุณก็ทำตาม มันไม่ได้เป็นมารยาทนะ มารยาท ความเคารพ คนไทยนี่สุดยอดแล้วนะ 

.

ยิ่งไปกว่านั้นหากมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่คิดแบบไหน อยู่ฝั่งไหน สุดท้ายคนไทยจะช่วยเหลือกัน คุณอาจจะเจอคนที่เค้ามีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนมึง อาจจะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อาจจะสนับสนุนฝั่งนี้ ฝั่งนั้น แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนไทยช่วยกัน คนไทยรักกัน แต่ที่อเมริกาไม่มืสิ่งเหล่านี้ มีแต่ทะเลาะกัน 

.

 

สุดท้ายคุณไป Research ไปหาข้อมูลดีๆ ก่อนคุณจะทำอะไรสักอย่าง แต่ผมจะบอกให้ว่า อเมริกาไม่น่าอยู่ตอนนี้ อยู่ไทยเสียกว่า ปลอดภัยกว่า คนไทยนิสัยดี

.

ที่มา: https://fb.watch/gJLQhWqpQg/

หล่อ สวย ด้วยจิตใจ หนุ่ม-สาว จุฬาฯ ครองใจกรรมการ คว้าตำแหน่งกุลบุตรและกุลธิดา ประจำปี 2565

สภากาชาดไทย จัดประกวดหนุ่มหล่อสาวสวยด้วยจิตใจ ประจำปี 2565 เพื่อสร้างต้นแบบเยาวชนคนดี ขับเคลื่อนสังคม

(12 พฤศจิกายน 2565) เสร็จสิ้นกันไปแล้วสำหรับการคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดา ประจำปี 2565 ซึ่งจัดขึ้นโดยสภากาชาดไทย ซึ่งมีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น 242 คน และผ่านเข้ารอบค่ายคัดสรร จำนวน 96 คน ซึ่งผลการตัดสินโครงการสรรหากุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ได้แก่ 
1.ตำแหน่งกุลบุตรกาชาด นายณรงค์ชัย แสงอัคคี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตำแหน่งรองกุลบุตรกาชาด นายณพลเชษฐ์ เจริญรัตน์ บริษัท Mali Family Health

2.ตำแหน่งกุลธิดากาชาด นางสาวพัทธ์ธีรา หิรัญสิรภัทร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาขาดไทย
ตำแหน่งรองกุลธิดากาชาด นางสาวธนธร ศิระพัฒน์ Shanghai University of Traditional Chinese Medicine

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีประกาศผลการตัดสิน กุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จังหวัดฉะเชิงเทรา 

ซึ่งนางสุนันทา ศรอนุสิน  ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทย  กล่าวว่า การคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งขณะนั้นสภากาชาดไทย ดำเนินการคัดสรรเยาวชนสุภาพสตรีโดยใช้ชื่อว่า “ธิดากาชาด” ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น  “กุลธิดากาชาด” ในปีพุทธศักราช 2535 กระทั่งปีพุทธศักราช 2543 การจัดกิจกรรมคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และ ไม่จำกัดเพศ ด้วยเหตุผลที่ว่าการสร้างเยาวชนจิตอาสา ควรให้โอกาสที่จะดึงพลังของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชาย ให้มาเป็นกำลังสำคัญให้แก่ประเทศชาติ เพื่อขับเคลื่อนงานจิตอาสา

โดยจะเป็นต้นแบบของงานด้านอาสาสมัครของสภากาชาดไทย และพร้อมจะเป็นแบบอย่างและเป็นผู้แบ่งปันให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมสืบต่อไป จึงใช้ชื่อการคัดสรรว่า “กุลบุตรและกุลธิดากาชาด” เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับการคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด เป็นการสรรหาเยาวชนคนดีมีคุณธรรม เก่ง รอบรู้ และเป็นที่พึ่งได้ และมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมตามคุณสมบัติ 3 ด้าน ได้แก่  Smart คือเยาวชนที่มีไหวพริบปฏิภาณ ทันโลกทันสมัย มีเอกลักษณ์ความเป็นผู้นำในตนเอง และกล้าแสดงออกทางความคิดและการกระทำอย่างสร้างสรรค์  Strong คือ เยาวชนที่มีจิตอาสาอย่างแรงกล้า มีคุณธรรม มีความรู้ความเข้าใจในองค์กรและพันธกิจของกาชาด บทบาทของการเป็นอาสาสมัคร และมีความพร้อมทางกายและใจสำหรับการปฏิบัติภารกิจเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขร่วมกับองค์กรสาธารณกุศลระดับชาติ เช่น “สภากาชาดไทย” และ Samart (สามารถ) คือเยาวชนที่มีศักยภาพดำเนินชีวิตได้อย่างพอเพียง เพื่อประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานของการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ทัศนคติและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์

ในปีนี้ สำนักงาน ยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ได้กำหนดจัดโครงการสรรหากุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2565  ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีปณิธานมุ่งหวังที่จะเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย ครบ 66 ปี

หญิงไทย ระดับโลก นิตยสาร Forber ยก “แอน จักรพงษ์” สตรีข้ามเพศ ทรงอิทธิพลสุดในโลก

นิตยสาร Forber ยกย่อง “แอน จักรพงษ์” เป็นสตรีข้ามเพศ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก หลังถือครองธุรกิจ Miss Universe Organization (MUO)

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ล่าสุดดังไกล สู่ระดับโลก เมื่อนิตยสาร Forbes (ฟอร์บส์) ได้ยกย่องให้ “แอน จักรพงษ์” เป็นสตรีข้ามเพศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก หลังจากการเข้าถือครองธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe Organization(MUO) ส่งผลให้ “แอน จักรพงษ์” กลายเป็นสตรีข้ามเพศคนแรก และคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเจ้าขององค์กรนางงามจักรวาล


ทั้งนี้นิตยสาร Forbes (ฟอร์บส์) เปิดเผยว่า “แอน จักรพงษ์” ได้ก้าวข้ามอุปสรรคและพยามผลักดันตัวเอง ให้ก้าวไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงข้ามเพศ ในการใช้พลังในทางที่ถูกต้อง เพื่อทรานส์ฟอร์มตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น สร้างสิ่งที่ดีให้กับโลกต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบความสำเร็จของ Miss Universe ซึ่งเป็นคอนเทนต์ระดับโลกให้เป็นตำนาน


ส่วนในเชิงของธุรกิจ การเข้าถือครองกิจการในครั้งนี้จะเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอให้กับ เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “เจเคเอ็น”  ในด้านกิจการโทรทัศน์และการค้าคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจการค้าคอนเทนต์ระดับโลกอย่างแท้จริง การเปลี่ยนผู้ถือครองธุรกิจมาสู่เจเคเอ็น ถือเป็นการสานต่อปณิธานและคุณค่าอันยาวนานกว่า 70 ปี ขององค์กรนางงามจักรวาล รวมถึงการต่อยอดในทางธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ภายใต้ แบรนด์ MISS UNIVERSE และยังจะทำให้ Miss Universe เป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อน ซอฟต์ พาวเวอร์ของไทยไปสู่ระดับโลก ที่สามารถส่งผ่านวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว อาหารการกิน แฟชั่น เครื่องแต่งกาย จะถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ที่มา : https://www.prachachat.net/spinoff/entertainment/news-1116625

กรุงเทพคริสเตียนเจ๋ง โครงการหนอนติดล้อ คว้ารางวัลชนะเลิศ

นักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้เข้าร่วมค่าย AFTERKLASS Business Kamp 2022 “Start up for Better Society Hackathon” ค่าย Bootcamp ระหว่างวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2565

.

จัดโดยธนาคารกสิกรไทย เพื่อหาไอเดียธุรกิจสร้างสรรค์พร้อมโจทย์นำเสนอแผนธุรกิจที่จะช่วยพัฒนาสังคม และนำไปสู่ความยั่งยืน 

.

โดยทีมนักเรียน ได้แก่

.

1. นายวิรชัช ทองอุทัยศรี ห้อง 52 แทรควิศวกรรมคอมพิวเตอร์

2. นายปัณปพล เธียรวณิชพันธุ์ ห้อง 54 แทรควิศวกรรมคอมพิวเตอร์

3. นายพชรพล มานะธรรมไพบูลย์ ห้อง 54 แทรคแพทยศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์

4. นายธัชพล ศรีมานนท์ ห้อง 58 แทรคบริหารธุรกิจ พาณิชยศาสตร์

5. นายปรัณ ธรรมเดชศักดิ์ (BCC171) ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์

.

ได้นำเสนอไอเดียธุรกิจ “โครงการหนอนติดล้อ” เป็นโครงการที่มีแนวคิดในการสกัดเวย์โปรตีนออกจากหนอนด้วง และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน รับทุนการศึกษาจำนวน 50,000 บาท

.

ขอพระเจ้าอวยพระพร

.

แหล่งที่มา : https://mobile.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02Y5zn6v35Drm14Sa8hDvzoLf8a3M8qLmCHHBRA7UYFHkboqp8W2LqoKEssTWHsWZDl&id=204369076412&mibextid=gngRpg&_rdc=1&_rdr

ส่องจัดอันดับ TOP 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย โดย QS Asia University Rankings 2023

1.Peking University 
ประเทศจีน 
คะแนนทั้งหมด 100 คะแนน


2.National University of Singapore (NUS) 
ประเทศสิงคโปร์
คะแนนทั้งหมด 97.4 คะแนน


3.Tsinghua University 
ประเทศจีน
คะแนนทั้งหมด 97.3 คะแนน


4.The University of Hong Kong 
ฮ่องกง
คะแนนทั้งหมด 96.8 คะแนน


5.Nanyang Technological University, Singapore (NTU) 
ประเทศสิงคโปร์
คะแนนทั้งหมด 96.7 คะแนน


6.Fudan University 
ประเทศจีน
คะแนนทั้งหมด 96.3 คะแนน


7.Zhejiang University 
ประเทศจีน
คะแนนทั้งหมด 96.3 คะแนน


8.KAIST - Korea Advanced Institute of Science & Technology 
ประเทศเกาหลี
คะแนนทั้งหมด 93.4 คะแนน


9.Universiti Malaya (UM) 
ประเทศมาเลเซีย
คะแนนทั้งหมด 92.6 คะแนน


10.Shanghai Jiao Tong University 
ประเทศจีน
คะแนนทั้งหมด 92.2 คะแนน

ที่มา: topuniversities

สิ่งที่ลูกต้องมี ชวนพ่อแม่รู้จัก “ภาวะความคิดสร้างสรรค์” ทักษะชีวิตสำคัญสำหรับลูกวัยเรียน

เมื่อเราพูดกันถึง ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนคงนึกถึงนิยาม ความหมาย หรือแนวคิดที่ว่าความคิดสร้างสรรค์คือทักษะในการประดิษฐ์ คิดค้น หรือสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น ความคิดสร้างสรรค์คือทักษะหรือความสามารถของคนๆ หนึ่งในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่จะมีคุณค่าหรือผลลัพธ์ในทางบวกต่อธุรกิจของตนเอง สังคมหรือโลก คำว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันมาตลอดมากที่สุด ในแง่นี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นเหมือนทักษะทางสังคม ทักษะในการทำงาน หรือทักษะที่มีคุณค่าและสถานะคล้ายคลึงกับบรรดาทักษะทางสังคมอื่นๆ ต่างๆ อย่างเช่น พรสวรรค์ (talents), ความสามารถ (capabilities), หรือผลิตภาพ (productivity) ฯลฯ

แต่ความคิดสร้างสรรค์ในบริบทของทักษะชีวิตละ? เป็นไปได้ไหมที่จริงๆ แล้วภาวะความคิดสร้างสรรค์นั้นก็มีตัวตน ความหมายและคุณค่าอยู่ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราเหมือนกัน? แล้วหากอยู่ในบริบทนั้น มันคือภาวะ พลังงาน หรือทักษะในลักษณะใดกันแน่?

เกริ่นกันมาถึงขนาดนี้ คุณพ่อคุณแม่และผู้อ่านๆ หลายคนอาจเริ่มขมวดคิ้วกันพอสมควรแล้ว แต่อย่าเพิ่งถอดใจหรือคิดว่าจะซับซ้อนเกินไป ในบทความนี้ Starfish Labz จะขอพาคุณพ่อคุณแม่และผู้อ่านทุกคนมาสำรวจถึงอีกหนึ่งความหมาย และแนวคิดของสิ่งที่เรียกว่า’ภาวะความคิดสร้างสรรค์’ ในบริบทของการเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญให้กับลูกๆ ของเรากัน

ในแง่นี้ ภาวะความคิดสร้างสรรค์ที่ Starfish Labz ว่าจะคืออะไร? จะมีคุณค่าต่อหัวใจ การเติบโต ความฝัน ตลอดจนการกลายเป็นขุมพลังอันสำคัญของสังคมและโลกในฐานะพลเมืองและบุคคลในวัยทำงานอย่างไร มาหาคำตอบร่วมกันไปในบทความนี้กันเลย

ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในขอบเขตของความหมายที่เราคุ้นเคยกัน

แม้อาจดูเหมือนเป็นคำและคอนเซ็ปต์ที่เราคุ้นเคยและมีมานาน แต่คุณพ่อคุณแม่เชื่อไหมคะว่าจริงๆ แล้วแนวคิดเรื่อง Creativity นั้นเพิ่งมาถือกำเนิดขึ้นเพียงแค่ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 เท่านั้นเอง การถือกำเนิดของแนวคิด Creativity กล่าวโดยคร่าวและอย่างเรียบง่ายที่สุดนั้นก็มาจากความพยายามของคนรุ่นหลัง ที่อยากทำความเข้าใจทักษะหรือกระบวนการที่คนรุ่นก่อนๆ สามารถสรรค์สร้าง ผลิตคิดค้น หรือนำเสนอสิ่งหรือแนวคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีก่อนและยังมีอิทธิพลในการเปลี่ยนโลก Karl Benz บุคคลแรกที่ศึกษา คิดค้นและสร้างรถยนต์ทำสิ่งดังกล่าวได้อย่างไร? หรือปัจจัยใด ทักษะใด กระบวนการใดที่ช่วยให้ Albert Einstein สามารถคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity)?

ความปรารถนา และความพยายามในการทำความเข้าใจความสามารถของบุคคลเหล่านี้ทำให้ในภายหลัง ในท้ายที่สุด เราได้พบและให้กำเนิดแนวคิดที่เราเรียกกันว่า ‘ทักษะหรือภาวะความคิดสร้างสรรค์ (creativity)’ อันหมายถึง

ความสามารถในการสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ มิว่าจะเป็นทางออกใหม่ให้กับปัญหา, กลวิธีการใหม่, อุปกรณ์ใหม่, หรือวัตถุ-รูปแบบใหม่ๆ ในทางศิลปะ 

หากกล่าวอย่างให้เห็นภาพที่สุด ทักษะความคิดสร้างสรรค์ในแง่นี้ก็จึงคือผลผลิต อาทิ การผลิตรถยนต์คันแรก, การผลิตเครื่องบินลำแรก, การพัฒนารถยนต์หรือเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม, กวีนิพนธ์, นวนิยาย, ภาพวาด และไปจนถึงแนวทางใหม่ที่ผู้นำในสังคมคิดออกมาเป็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาหนึ่งๆ ในสังคม ภาวะความคิดสร้างสรรค์ในแง่นี้ จึงอาจกล่าวได้ว่ามีความผูกโยงอยู่กับบรรยากาศแวดล้อมทางสังคม หรือเป็นทักษะความสามารถทางสังคมชนิดหนึ่ง คล้ายคลึงกับทักษะในลักษณะเดียวกันอื่นๆ อาทิ พรสวรรค์ (talents), ผลิตภาพ (productivity), กรอบความคิดแบบเติบโตได้ (growth mindset), การมีความวิริยะ (grit) ฯลฯ

แต่นอกเหนือจากความหมายในขอบเขตนี้แล้ว Creativity ยังมีพื้นที่ในส่วนอื่นๆ ในโลกของเราอีกไหม? นอกเหนือจากในบริบทของการเป็นสะพานสู่การประดิษฐ์คิดค้นหรือนำเสนอผลงานศิลปะที่มีคุณค่าใหม่ๆ เป็นไปได้ไหมที่ Creativity ทักษะอันทรงพลังที่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งมากมายที่เปลี่ยนโลกของเรา จะมีพื้นที่ในการดำรงอยู่ที่อาจดูแสนธรรมดาและตลอดจนกระทั่งในการทำความเข้าใจว่าเราคือใครเช่นกัน คำตอบของคำถามนี้จะพาเราไปสู่อีกแง่มุมหนึ่งอันลึกซึ้งหนึ่งของ Creativity ที่เรียกว่า Everyday Creativity หรือ ภาวะความคิดสร้างสรรค์ในทุกๆ วัน

Everyday Creativity: ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในฐานะการเป็นพื้นฐานอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์และการเป็นทักษะชีวิต

ศึกษาและนำเสนอโดย Ruth Richards จิตแพทย์และนักจิตวิทยาชาวอเมริกันในปี 1988 ในหนังสือ Everyday Creativity: Coping and Thriving in the 21st Century แนวคิดของ Everyday Creativity ใหม่นี้มีความลึกซึ้งและสัมผัสลึกลงไปที่แนวทางทางมนุษยนิยมและจิตวิทยาของ Creativity มากขึ้นนั่นก็คือการมองว่า Creativity ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทักษะ (skill) ในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ต่างๆ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ยังมีลักษณะของการเป็นความสามารถอันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ (human nature)

ภาวะความคิดสร้างสรรค์มีอยู่ในตัวของทุกคนและ “We are a creative creature.” (“เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสร้างสรรค์”) และคุณลักษณะอันสร้างสรรค์ดังกล่าวนี้ของเราก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอใช้งานกับโปรเจกต์ที่จะมีคุณค่าและอิทธิพลต่อสังคมเพียงอย่างเดียว หากแต่สามารถนำมาใช้ในการเสริมสร้างประสบการณ์ในการดำรงอยู่และในการประกอบสร้างตัวตนของเราเช่นกัน

ภาวะความคิดสร้างสรรค์ในอีกด้านนี้ซึ่งมีความเชื่อมโยงอยู่กับตัวตน ความเป็นปักเจก และชีวิตของบุคคลมากกว่าจึงมักถูกเรียกและใช้งานโดยอีกคำมากกว่า นั่นคือ  “Creative Expression” หรือ “การแสดงออกด้วยคุณลักษณะอันสร้างสรรค์” อันหมายถึงจากเดิมที่เราคิดว่า Creativity เป็นทักษะหรือกระทั่งพรสวรรค์ที่มีอยู่เพียงแค่ในบางคน และเราสามารถใช้ Creativity กับผลงานเพื่อธุรกิจหรือสาธารณชนเท่านั้น จริงๆ แล้ว เรามีเมล็ดพันธุ์ของ Creativity อันโดดเด่นอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เรามีธรรมชาติอันมีลักษณะสร้างสรรค์ และคุณลักษณะดังกล่าวนั้นสามารถนำออกมาใช้ได้ไม่เพียงแค่กับการทำงานหรือโปรเจกต์ทางสังคม แต่ยังรวมถึงเพื่อชีวิตและจิตใจของเรา

ตัวอย่างหนึ่งของ Everyday Creativity อย่างง่ายที่สุดในแง่นี้ก็คือความสามารถของเราในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ในแง่ใหม่ ๆ ที่แท้จริงแล้วก็กำเนิดจากธรรมชาติ ภาวะ และความสามารถแห่งการสร้างสรรค์ของเราที่มีอยู่ในตัวและไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อการบำบัดทางจิตใจต่างๆ เช่น การวาดภาพเพื่อการบำบัด, ดนตรีบำบัด, การเขียนเพื่อการบำบัดทางจิตใจ ไปจนถึงการท่องเที่ยว กิจกรรม การละเล่นที่ช่วยขับให้เราฝึกใช้ Creative Expression ของเราในแง่มุมเล็กๆ ไปจนถึงใหญ่ๆ ต่างๆ ตามแต่ความสนใจและความชอบของแต่ละคน

Creative Expression และการช่วยเสริมสร้างตัวตน (Self) ที่แตกต่างและโดดเด่นของเด็กๆ แต่ละคน

มาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่และผู้อ่านหลายๆ คนคงอาจเริ่มพอเห็นภาพและพอเข้าใจในบทบาทของภาวะความคิดสร้างสรรค์ในการเป็นทักษะชีวิตกันบ้างแล้ว และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่อย่างๆ เราสามารถมอบให้กับเด็กเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน หรือน้องของเรานั่นก็คือการช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ Creativity ในตัวของเด็กๆ แต่ละคนให้สามารถกลายเป็น Creative Expression ที่งดงาม มีคุณค่า มีความหมาย และมีประโยชน์ต่อตัวเขาเองในหลากหลายด้านตั้งแต่การทำความเข้าใจตัวเอง (self-discovery) ไปจนถึงการความสามารถในการสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสังคมอย่างขอบเขตของ Creativity ในความหมายแรก

แต่สิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆ นั้น แน่นอนว่าควรเริ่มที่ตัวของเขาเองก่อน เขาชอบอะไร? เขาเป็นคนอย่างไร? ความโดดเด่นของเขาอยู่ที่ตรงไหน? กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ, การฝึกเขียนบันทึก, การเข้าร่วมกิจกรรมที่ท้าทาย ฝึกให้เขาต้องคิดหารูปแบบแนวทางใหม่อื่นๆ นั้นล้วนเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับภาวะความคิดสร้างสรรค์ในตัวของพวกเขา

ในแง่นี้ เราจึงอาจกล่าวได้ว่า ในระดับของการเป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ ภาวะความคิดสร้างสรรค์คือเมล็ดพันธุ์อันมหัศจรรย์ในตัวของเด็กๆ และผู้ใหญ่ทุกคนที่สามารถช่วยเชื่อมร่างกายและความคิดจิตใจ (mind-body connection) ของเราให้สัมพันธ์กัน เรามองเห็นบางสิ่งในระดับจิตใต้สำนึกของเราอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อเราลองลงมือวาดภาพ เด็กๆ สามารถค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่เขาชอบ ตัวตนที่เขาเป็น สิ่งที่เขาอยากทำด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มากมายต่างๆ อาทิ การเต้น, ดนตรี, ศิลปะ, งานประดิษฐ์, การละเล่น ฯลฯ

สรุป (Key Takeaway)

หัวใจสำคัญของภาวะความคิดสร้างสรรค์ในฐานะการเป็นทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21 สำหรับเด็กๆ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องเติบโตไปเป็นจิตรกร, กวี, หรือผู้ผลิตศิลปะหรือกระทั่งนวัตกรรมยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถเติบโตไปเป็นใครก็ได้ด้วยการเรียนรู้และเข้าใจตนเองผ่านเครื่องมือที่มีคุณประโยชน์ และหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังนั่นก็คือ Creativity หรือความสามารถในการมี Creative Expression ในตัวของพวกเขาเอง

แม้จะดูเหมือนเป็นแนวคิดคนรุ่นใหม่ แต่ Creative Expression และ Every Creativity อันที่จริงแล้วเป็นคุณลักษณะธรรมชาติพื้นฐานที่ไม่ได้ซับซ้อนและไกลตัว แต่เพราะเราคุ้นเคยกับนิยามโดยทั่วไปเพียงอย่างเดียว จึงอาจต้องใช้เวลาในการค่อยๆ สังเกตและปรับเลนส์ในการมองเห็นภาวะความคิดสร้างสรรค์ในตัวของเด็กๆ และของเราเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดผ่านแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น บทความเกี่ยวกับภาวะความคิดสร้างสรรค์, หนังสือสู่สเต็ปในการบ่มเพาะจริง, งานวิจัยจากจิตแพทย์หรือนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ พูดคุยกับลูก ค่อยๆ สอนเขาให้เข้าใจแนวคิด Creative Expression และเริ่มลองให้เขาลงมือทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อบ่มเพาะ Everyday Creative Expression ให้กับเขาอย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: starfishlabz

แพทย์ไทย เก่งระดับโลก 'นพ.ชูชัย ศุภวงศ์' คนไทยคนแรก คว้ารางวัล จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

วันนี้ The Study Times  ขอพาลูกเพจทุกคน ไปทำความรู้จัก กับอีกหนึ่งคนไทย ระดับโลก นั้นคือ 'นพ.ชูชัย ศุภวงศ์' ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนไทยคนแรก ที่สามารถคว้ารางวัล ‘ผู้นำด้านสาธารณสุข’ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาได้  ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการแพทย์ไทย ไปไกลระดับโลก จากผลงานโดดเด่นในการเป็นผู้นำการควบคุมการสูบบุหรี่ ด้านสิทธิมนุษยชน คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ ระบบสุขภาพชุมชน

.

โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ได้มอบรางวัล ให้กับนพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิแพทย์ชนบท ซึ่งได้รับรางวัลผู้นำด้านสาธารณสุข (Leadership Award in Public Health Practice) จาก โรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard T.H. Chan School of Public Health ) เมื่อช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นคนไทยคนแรก และ คนเอเชียคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลนี้

.

สำหรับรางวัลผู้นำด้านสาธารณสุข เป็นการยกย่องผู้สำเร็จการศึกษา ที่เป็นแบบอย่างที่โดดเด่นของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในภาครัฐ หรือเอกชน

.

โดยคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ มีผลงานโดดเด่นด้านสิทธิมนุษยชน การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และระบบสุขภาพแห่งชาติ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ Bernard T. Lee เปิดเผยว่า ในฐานะประธานร่วมของคณะกรรมการ ปีนี้เป็นปีที่มีการแข่งขันอย่างสูงยิ่ง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในอาชีพที่โดดเด่นของ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการผู้พิจารณา ในหลาย ๆ ด้าน”

.

ทั้งนี้วิดีทัศน์ นำเสนอในวันพิธีรับมอบรางวัล สาระสำคัญของผลงาน นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ที่นำไปสู่การได้รับ รางวัลผู้นำด้านสาธารณสุข (Leadership Award in Public Health Practice) Leadership Award in Public Health Practice : ยกย่องผู้สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard T.H. Chan School of Public Health ) ที่เป็นแบบอย่างที่โดดเด่นของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในภาครัฐหรือเอกชน สิทธิมนุษยชน. การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม. ระบบสุขภาพแห่งชาติ

.

ที่มา: https://www.thaipost.net/education-news/230462/

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ประจำปีการศึกษา 2564

วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2565) - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังวังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันวิทยสิริเมธี ประจำปี 2564 จำนวน 30 คน โดยแบ่งเป็นระดับปริญญาเอก จำนวน 26 ราย และระดับปริญญาโท จำนวน 4 ราย และพระราชทานทุนการศึกษา “ศรีเมธี” ให้กับนิสิตที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมจากสถาบันฯ จำนวน 4 ราย รวมทั้งพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้แทนนักเรียนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ที่สำเร็จการศึกษา รุ่นที่ 5 จำนวน 2 ราย โดยมี นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร นายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมกับคณะผู้บริหารและพนักงาน กลุ่ม ปตท. เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง

.

ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทอดพระเนตรผลงานทางวิชาการและงานวิจัยของสถาบันวิทยสิริเมธี ที่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ งานวิจัยทางด้านระบบปัญญาและหุ่นยนต์ (Al and Robotic) งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน การพัฒนาแบตเตอรี่และวัสดุคุณภาพภาพสูง (Energy Materials & Environment) และงานวิจัยพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และการเพิ่มมูลค่าขยะอินทรีย์ อนึ่ง สถาบันวิทยสิริเมธี ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อร่วมกันสร้างนักวิจัย พัฒนางานวิจัยที่มีศักยภาพไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และสร้างคุณค่าให้แก่สังคม อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของสถาบันฯ

.

ต่อมาทรงเป็นประธานในการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สถาบันวิทยสิริเมธี และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินโครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 GeV และห้องปฏิบัติการ ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) พื้นที่ประมาณ 88 ไร่

.

เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ให้เป็นเครื่องมือที่มีพลานุภาพ เป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่สามารถสร้างคุณประโยชน์มากมายมหาศาลต่องานวิจัยทางด้านการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม และด้านอื่น ๆ โดยเครื่องกำเนิดแสงที่จะจัดสร้างนี้ มีค่าระดับพลังงาน 3 GeV และใช้เทคโนโลยี Double Triple Bend Achromat (DTBA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้แสงซินโครตรอนมีความสว่างจ้ามากกว่าเดิม 1 ล้านเท่า และรองรับระบบลำเลียงแสงได้สูงถึง 22 ระบบ จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ด้านงานวิจัยได้หลากหลาย

.

จากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารปฏิบัติการวิศวกรรม (Fabrication Center) ซึ่งเป็นห้องทดลองสำหรับนักเรียนในการสืบค้นข้อมูลและพัฒนาต้นแบบสิ่งประดิษฐ์ตามแนวคิดของตนเอง พร้อมทรงติดตามความก้าวหน้าและความยั่นยืนของโรงเรียนกำเนิดวิทย์ โดยมี

.

รองศาสตราจารย์ ดร.บุญโชติ เผ่าสวัสดิ์ยรรยง ผู้อำนวยการโรงเรียนกำเนิดวิทย์ กราบบังคมทูลรายงาน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินไปยัง “ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา” ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้สำคัญในการพัฒนาภาพลักษณ์ของเกษตรกรไทยยุคใหม่ ให้เป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจและยั่งยืน โดย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. และ นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานกรรมการ บริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือและแพลตฟอร์ม “สวนสมรม” ที่นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบการเกษตร

.

ต่อมาทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนลานใจบ้าน สถาบันวิทยสิริเมธี โดยมีนายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน เฝ้าฯ รับเสด็จ และนำเสนอนิทรรศการโครงการด้านนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ผลงานของ ปตท.สผ. ร่วมกับพันธมิตร ที่จะช่วยสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 ของ ปตท.สผ. นอกจากนี้ยังจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยี Smart Forest Solution ซึ่งเป็นผลงานของ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส หรือ เออาร์วี ซึ่งเป็นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ในเครือ ปตท.สผ. โดยเป็นเทคโนโลยีเพื่อการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โครงการด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืนของ ปตท.สผ. ภายใต้แนวคิด “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับระบบนิเวศใต้ทะเล

.

จากนั้น ทอดพระเนตรการแสดงโดรนแปรอักษรประกอบ แสง สี เสียง ซึ่งกลุ่ม ปตท. โดย ปตท.สผ. และบริษัท เออาร์วี จัดแสดงขึ้นด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยใช้โดรนจำนวนกว่า 700 ลำ ทำการแสดงรวม 9 ภาพ ในรูปแบบ 3 มิติ ผสานม่านน้ำมัลติมีเดีย ในชื่อชุด “ความยั่งยืนจากท้องทะเลสู่ท้องฟ้า เหล่าประชาร่วมเทิดพระเกียรติ” โดยนำเสนอความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล เชื่อมโยงสู่การใช้เทคโนโลยีโดรนและปัญญาประดิษฐ์เพื่อดูแลความสมบูรณ์ของทรัพยากรชายฝั่ง รวมถึงเพื่อพัฒนาภาคการเกษตรของไทย และพระราชกรณียกิจในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top