Monday, 29 April 2024
NewsFeed

ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ สยามพารากอน ทอดพระเนตรโขนภาพยนตร์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ทอดพระเนตรโขนภาพยนตร์ หนุมาน ไวท์ มังกี (WHITE MONKEY) และนิทรรศการ"โขนภาพยนตร์" ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน
.
วันนี้ (4 ธ.ค.) เมื่อเวลา 19.58 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรโขนภาพยนตร์ หนุมาน ไวท์ มังกี (WHITE MONKEY) และนิทรรศการ “โขนภาพยนตร์” ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้า
สยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
.
โอกาสนี้ทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ “โขนภาพยนตร์” ก้าวแห่งนาฏกรรม..โขนแห่งรัชสมัย KHON THE MILESTONE OF THE REIGN เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 5 ธันวาคม 2565 และเพื่อเป็นการดำเนินการตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการแสดงโขนอีกประการสำคัญ คือเป็นการดำเนินตามรอยพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการสืบสานรักษาต่อยอดศิลปะวัฒนธรรมประจำชาติไทยเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสืบทอดไปสู่เยาวชนของชาติต่อไป
.
โดยนิทรรศการได้ดำเนินเนื้อเรื่อง ผ่านโขนแห่งรัชสมัย ที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกรัชกาลทรงเป็นผู้นำ ในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตด้านนาฏกรรมและการดนตรีมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่รัชกาลที่1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบมีหลักฐานว่ามีการแสดงโขนตอนหนุมานถวายแหวน หนุมานยกแท่นท้าวชมพู เป็นต้น เรื่อยมาจนถึง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ที่ส่งร่วมอุปถัมภ์การแสดงโขน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชดำริเรื่องฟื้นฟูโขนและมีพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการส่งเสริมและจัดสร้างเครื่องแต่งกาย โปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาวิธีแต่งหน้าโขนที่เปิดหน้าส่งผลให้เกิดช่างฝีมือหลายด้าน ที่สำคัญคือมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จัดแสดงโขนถวายมายาวนานนับทศวรรษ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดแสดงโขนสู่ประชาชนทุกปี
.
จากนั้นเสด็จเข้าภายในโรงภาพยนตร์ ฯ ทรงรับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสูจิบัตรและถวายของที่ระลึก นางนฤมล ล้อมทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหศีนิมา จำกัด กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ฯ และกราบบังคมทูลเชิญทอดพระเนตรโขนภาพยนตร์ หนุมาน ไวท์ มังกี (WHITE MONKEY) จบแล้ว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับการแสดงโขน และผู้ให้การสนับสนุน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานช่อดอกไม้ สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับ
.
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อศิลปะการแสดง “โขน” นาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการทำนุบำรุงมรดกศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปะการแสดงโขน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงดูแลส่งเสริมให้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน 
.
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท สหศีนิมา จำกัด ได้ดำเนินการในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ จัดการแสดงโขนณ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุง ตั้งแต่ปี 2548 อย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานให้จัดการแสดงโขนสำหรับนักท่องเที่ยว ณ โรงมหรสพหลวง ฯ เพื่อเป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอด ศิลปะการแสดง “โขน” ให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาประชาคมโลก ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
.
โดยบริษัท สหศีนิมา จำกัด ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และกระทรวงวัฒนธรรม ดำเนินการจัดการผลิตโขนภาพยนตร์ “หนุมาน ไวท์ มังกี” (HANUMAN White Monkey) โดยการผสมผสานศิลปะการแสดงแบบเดิมที่เกิดขึ้นบนเวที กับเทคนิคทางด้านดิจิทัลคอมพิวเตอร์กราฟิก และเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์ มาสร้างสรรค์จินตนาการให้กับเรื่องราวของโขนรามเกียรติ์ ในรูปแบบของโขนภาพยนตร์ ให้ผู้ชมได้รับความสนุก ตื่นเต้น ประทับใจยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ชมยุคใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ และเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงประจำชาติของไทยไปสู่สากล
ทั้งนี้โขนภาพยนตร์ จะฉายให้ประชาชนทั่วไปได้ชมพร้อมกันทั่วประเทศ ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และ โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม เป็นต้นไป

.

ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000115500

น้องพิงค์ คว้าแชมป์ แบดมินตันที่บาห์เรน ขยับสู่อันดับ 93 ของโลก

การแข่งขันแบดมินตันในศึก "อัลชาริฟกรุ๊ป บาห์เรน อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ 2022” ทัวร์นาเมนต์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนลชาเลนจ์ ที่มานามา ประเทศบาห์เรน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ธ.ค. 65 เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
.

โดย "พิงค์" พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ พบกับ เอสเธอร์ นูรูมิ วาโดโย่ มืออันดับ 112 ของโลกจากอินโดนีเซีย ผลปรากฎว่า ขนไก่หน้าหวานของไทย ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเอาชนะไปอย่างสนุก 2-0 เกม 21-17 และ 21-16 คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
.
ทำให้เธอจะขยับอันดับโลก จาก 120 เข้าสู่ 93 ของโลก ในสัปดาห์หน้า

.

ที่มา: https://mgronline.com/sport/detail/9650000115516

 

“ทุนคิง” ทุนให้เปล่าของพระราชา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยการศึกษาเด็กไทย

วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

.

พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพและความสามารถ ทรงอุทิศพระวรกายในการประกอบพระราชกรณียกิจ ตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชสมบัติ โดยพระราชกรณียกิจด้านการศึกษาในรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงจัดตั้งทุนเล่าเรียนหลวงขึ้นมาอีกครั้ง ในปี 2508 การรื้อฟื้นทุนเล่าเรียนหลวง พระองค์ได้ทรงเพิ่มจำนวนทุนเล่าเรียนหลวงจากปีละ 2 ทุน เป็น 9 ทุน โดยทุนเล่าเรียนหลวง  King’s Scholarship หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า ‘ทุนคิง’

.

คือทุนให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ศึกษาในประเทศไทยได้มีโอกาสไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในต่างประเทศ โดยทุนมีลักษณะเป็นทุนให้เปล่า หมายถึง นักเรียนที่สอบแข่งขันได้สามารถเลือกได้เลยว่าจะเรียนอะไร เรียนที่ไหน และไม่ต้องกลับมาใช้ทุนในหน่วยงานรัฐบาล แต่มีเงื่อนไขเมื่อเรียนจบต้องกลับมาทำงานที่ประเทศไทย

.

 ส่วนทุนเล่าเรียนหลวง ในระดับการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรี นั้น ได้จัดให้มีขึ้นในปี พ.ศ. 2518 เนื่องจากในมหามงคลสมัยพระราชพิธีรัชดาภิเษกเฉลิมฉลองครบ 25 พรรษาแห่งการครองราชย์ โดยจัดตั้งทุนการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ให้กับนักศึกษาที่เป็นคนไทย และชาวต่างประเทศที่มีผลการเรียนดีเด่นเป็นพิเศษซึ่งในปัจจุบันพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงแก่นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียปีละ 16 ทุน ทุนละ 220,000 บาทต่อปี

.

ถ้าคำนวณการพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงตั้งแต่ปี 2508 จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นระยะเวลา 57 ปี โดยมีผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงจากข้อมูลสำนักงาน ก.พ. ตั้งแต่มกราคม 2565 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2565 กำลังศึกษาอยู่ 73 คน แบ่งเป็นศึกษาอยู่ที่สหราชอาณาจักร จำนวน 9 คน ศึกษาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 63 คน และในประเทศไทย 1 คน  นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงสร้างทรัพยากรบุคคลให้เป็นกำลังคนที่มีคุณภาพและกลับมาพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

.

ปัจจุบัน ก.พ. โดยสำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานที่ดูแลจัดการนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง และนักเรียนทุนรัฐบาลต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง และนักเรียนทุนรัฐบาล จะสำเร็จการศึกษาและกลับมาปฏิบัติงานในประเทศไทยตามข้อกำหนดของแต่ละประเภททุนได้ โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนเล่าเรียนหลวงได้ทาง เว็บไซต์ของ สำนักงาน ก.พ.

‘นร.ม.6’ คิดสั้น หลังเครียด ถูกหลอกซื้อ ‘ไอโฟน 13’ แบบผ่อนดาวน์ ด้าน ‘แม่เด็ก’ ใจสลาย เผย สิ้นเดือนนี้กำลังจะซื้อไอโฟนให้ลูกอยู่แล้ว

(17 ต.ค. 66) เกิดเหตุนักเรียนสาวชั้น ม.6 ตัดสินใจ ผูกคอตายในครั้งนี้ เนื่องจากเกิดอาการเครียด เพราะถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวง ให้โอนเงินค่าซื้อโทรศัพท์ไอโฟน เป็นเงินเกือบ 2 หมื่นบาท แต่สุดท้ายไม่ได้โทรศัพท์ จึงตัดสินฆ่าตัวตาย โดยเหตุการณ์เศร้าสลดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเกาะทวด ได้รับแจ้งเหตุเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 66 ที่ผ่านมาว่า มีนักเรียนหญิงผูกคอตาย ภายในบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ตำบลเกาะทวด อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ และแพทย์เวร

ที่เกิดเหตุ พบร่างของ นางสาวอาทิยา ช่วยคง หรือ ‘น้องพลอย’ อายุ 19 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ใช้เชือกไนลอนส์ สำหรับเรียนวิชาลูกเสือเนตรนารี ผูกคอตายกับขื่อห้องนอนในบ้านพัก จากการสอบสวนในเบื้องต้น ทราบว่า สาเหตุที่ น.ส.อาทิยา หรือ ‘น้องพลอย’ ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในครั้งนี้ เนื่องจากเกิดจากความเครียด เพราะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้ผ่อนโทรศัพท์มือถือ ‘ไอโฟน13’ ทางระบบออนไลน์

โดยตำรวจ สภ.เกาะทวด ได้ทำการสอบปากคำพยาน 3 ปาก ที่เป็นเพื่อนสนิท และน้าสาวของผู้ตาย ซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน พบว่า น.ส.อาทิยา หรือ ‘น้องพลอย’ ผู้ตายได้ติดต่อผ่อนซื้อโทรศัพท์ยี่ไอโฟน 13 ทางเฟซบุ๊กกับร้าน ‘hannah shop mobile’ ซึ่งตั้งอยู่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยถูกทางร้านดังกล่าวหลอกให้ นส.อาทิยา โอนเงินดาวน์ค่าผ่อนโทรศัพท์ไอโฟนให้  โดยให้โอนเข้าบัญชีชื่อ น.ส.ดอกแก้ว แก้วเจิม ธนาคาร CIMB บัญชี 7013721050 ซึ่งเป็นบัญชีม้า จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 18,500 บาท  ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฯ พบหลักฐานเป็นแชตข้อความหลายข้อความ และสลิปการโอนเงินดาวน์ไปให้กับร้านขายโทรศัพท์ดังกล่าว ในโทรศัพท์มือถือของ น.ส.อาทิยา หลายข้อความด้วยกัน

ปรากฏว่า หลังจากที่ น.ส.อาทิยา หรือ ‘น้องพลอย’ โอนเงินดาวน์เพื่อผ่อนซื้อโทรศัพท์ไปให้แล้ว กลับไม่ได้สินค้า ทำให้ น.ส.อาทิยา พยายามทวงถามสินค้าอยู่หลายครั้ง โดยมีหลักฐานเป็นแชตข้อความในโทรศัพท์มือถือของ น.ส.อาทิยา หลายข้อความด้วยกัน ซึ่งเป็นการโต้ตอบกับทางร้าน แต่เมื่อเห็นนานผิดปกติ น.ส.อาทิยา จึงแชททวงถาม และขอเงินดาวน์คืน แต่กลับถูกทางร้านดังกล่าวแชตข้อความกลับมา พร้อมกับให้โอนเงินค่าประกันเพิ่มอีก 2,000 บาท

กระทั่ง น.ส.อาทิยา หลงเชื่อ จึงได้โอนไปให้อีก 2,000 บาท แต่ทางร้านกลับเงียบหายไป และไม่โอนเงินคืนกลับมา ทำให้ น.ส.อาทิยา รู้ตัวว่าถูกหลอก จึงพยายามแชททวงเงินคืนหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ น.ส.อาทิยา เกิดความเครียดอย่างหนัก เพราะเงินส่วนหนึ่งที่โอนไป เป็นเงินที่หยิบยืมจากเพื่อนสนิท 2 คน และที่สำคัญกลัวถูกแม่ตำหนิ

จนกระทั่งเวลา 15.10 น. ของวันที่ 15 ต.ค. 66 น.ส.อาทิยา ได้แชตสุดท้ายกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งได้ระบุว่า ตนเองถูกร้านขายโทรศัพท์มือถือหลอก และถูกโกงเงินไปแล้ว ประกอบกับกลัวแม่จะตำหนิ จากนั้น น.ส.อาทิยา ก็เงียบหายไป ก่อนที่เพื่อนสนิทเห็นท่าไม่ดี จึงรีบโทรศัพท์แจ้งญาติเข้าไปดูในห้องนอน แต่ประตูถูกล็อกจากด้านในอย่างหนาแน่น จนทางญาติต้องพังประตูเข้าไป และพบ น.ส.อาทิยา หรือน้องพลอย ผูกคอเสียชีวิตไปแล้ว ท่ามกลางความเสียใจของพ่อแม่ และบรรดาญาติๆ และเพื่อนๆ ที่เกิดเหตุการณ์เศร้าในครั้งนี้ 

หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.สวัสดิ์ นิยมเดช สว.สภ.เกาะทวด อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ทำการสืบสวนสอบสวน ทำการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย และเรียกพยานเพื่อนสนิทของผู้ตาย และญาติสนิทมาสอบปากคำเบื้องต้น พบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้หลอกให้เหยื่อ โอนเงินค่าดาวน์โทรศัพท์ไอโฟน 13 แต่ถูกโกงทำให้ น.ส.อาทิยา เกิดความเครียด และกลัวแม่ตำหนิเลยตัดสินใจผูกคอตายดังกล่าว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังได้มีการสอบสวนขยายผล พร้อมกับแจ้งอายัดบัญชีม้าดังกล่าวอีกด้วย

พร้อมทั้ง ตรวจสอบร้านขายโทรศัพท์ดังกล่าว ที่ระบุว่าอยู่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เบื้องต้นพบว่า ร้านขายโทรศัพท์ดังกล่าว ไม่มีอยู่จริง เป็นการสร้างโปรไฟล์ขึ้นมา เพื่อหลอกลวงลูกค้า ซึ่งตำรวจ สภ.เกาะทวด ได้ประสานตำรวจไซเบอร์ เพื่อดำเนินการตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ และประวัติอาชญากรรมของ น.ส.ดอกแก้ว เจ้าของบัญชีม้า พร้อมทั้งประสานตำรวจไซเบอร์ ให้ช่วยเหลือในการทำคดี เพื่อติดตามจับกุมแก๊งคนร้ายออนไลน์แก๊งนี้ต่อไปแล้ว

ล่าสุดเช้าวันนี้ (17 ต.ค. 66) ทีมข่าวได้เดินทางไปยัง ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ และใช้เป็นสถานที่จัดงานศพของ น.ส.อาทิยาหรือน้องพลอย บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีญาติและเพื่อนบ้าน มาช่วยจัดงานศพกันอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้ จากการสอบถาม นางบุญเยือน อ่อนแก้ว หรือ ‘แม่แป๋ว’ อายุ 47 ปี มารดาของ น.ส.อาทิยา หรือ ‘น้องพลอย’ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ไม่คาดคิดว่าครอบครัวของตนเองจะมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูก ที่ผ่านเคยดูแต่ข่าวว่า มีเด็กนักเรียนฆ่าตัวตาย เพราะความเครียดที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน แต่ไม่คาดคิดว่า เหตุการณ์แบบนี้จะมาเกิดขึ้นซ้ำกับลูกสาวของตนเอง จึงอยากเตือนใจให้พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน ได้เฝ้าดูแลลูกๆ ในเรื่องนี้ให้ดี

สำหรับมูลเหตุเริ่มจาก น้องพลอย ลูกสาว เคยบ่นว่า อยากได้โทรศัพท์ไอโฟน 13 เพื่อนำไปใช้เรียนในชั้นมหาวิทยาลัยต่อในปีหน้า แต่มีปัญหาคือโทรศัพท์มีราคาแพงมาก ซึ่งตนก็ปลอบใจลูกสาว ว่าเดี๋ยวรอให้ถึงสิ้นเดือน แม่จะซื้อไอโฟน 13 ให้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ลูกสาวได้แอบไปสั่งซื้อ และผ่อนโทรศัพท์ไอโฟน 13 ทางออนไลน์เสียก่อน โดยพบหลักฐานข้อความแชตจำนวนมากที่ติดต่อกับทางร้านขายโทรศัพท์ปลายทาง และยังมีการหยิบยืมเงินจากเพื่อนสนิท เพื่อนำมาเป็นค่าเงินดาวน์ ในการซื้อโทรศัพท์ จนเมื่อลูกสาวรู้ว่าตัวเองถูกโกง จึงทำให้เกิดอาการเครียด และก่อเหตุผูกคอตายดังกล่าว

“หากลูกสาวแม่ มาบอกแม่ก่อน ว่าไปแอบผ่อนโทรศัพท์แล้วถูกโกง ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน และแม่ขอยืนยันว่า จะไม่ตำหนิลูกสาวอย่างแน่นอน เพราะรักลูกสาวคนนี้มาก และสิ้นเดือนนี้แม่ก็จะซื้อโทรศัพท์ไอโฟน 13 ให้ลูกสาว ซึ่งเพื่อนสนิทของลูกได้บอกกับแม่ว่า ลูกสาวเคยมาพูดเป็นลางสังหรณ์ให้เพื่อนสนิทฟังว่า หากถูกโกงซื้อไอโฟน 13 แล้ว จะฆ่าตัวตาย แม่จะเสียใจหรือไม่ เพื่อนสนิทได้พูดห้ามและปลอบใจ พร้อมกับแนะนำให้ไปแจ้งความกับตำรวจ” บุญเยือน กล่าว

นางบุญเยือน กล่าวอีกว่า อยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการจับกุม และปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องระบบออนไลน์ ที่จะต้องทำงานให้มากกว่านี้ สาเหตุที่ลูกสาวตัดสินใจฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ตนนึกไม่ถึงเลย ว่าลูกจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย หากตนรู้เรื่องก่อนหน้านี้ จะไม่ตำหนิลูกสาวเลย เพราะเข้าใจในตัวลูกสาวดีว่า ลูกสาวต้องการโทรศัพท์ไอโฟน 13 ไปใช้เรียนหนังสือในมหาลัยต่อไป ตนและญาติเศร้า และเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้ตำรวจเร่งติดตามตัวคนร้ายแก๊งนี้มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว และไม่อยากให้เป็นเยี่ยงอย่างไปทำกับคนอื่นอีกต่อไป

‘เยอรมัน’ ขาดแคลน ‘ครู’ อย่างหนัก จนต้องลดคลาส ทำ นร.เกรดร่วง หลังคนหนุ่ม-สาวหันเมินอาชีพนี้ เหตุค่าตอบแทนต่ำ สวนทางภาระงาน

‘นักการศึกษาเยอรมัน’ จี้!! รัฐบาลแก้ปัญหาขาดแคลนครูอย่างหนักทั่วประเทศด่วน โดยชี้ข้อมูลจากผลสอบวิชาคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการอ่านของนักเรียนระดับเกรด 9 ในเยอรมันร่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดครูในโรงเรียน

‘รีเบคก้า’ ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในฮัมบูร์ก ผู้มีประสบการณ์สอนในวิชาภาษาอังกฤษ และ ประวัติศาสตร์มานานกว่า 30 ปี เปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อเยอรมันว่า โดยทั่วไปแล้ว วิชาภาษาเยอรมัน, อังกฤษ และ คณิตศาสตร์ ถือเป็นวิชาหลักที่ต้องเน้นเป็นอันดับแรก แต่เมื่อครูขาดแคลน ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องงดคลาสวิชาอื่นๆ เพื่อเทครูมาสอนวิชาหลักก่อน ซึ่งหลายครั้งที่ชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของเธอต้องถูกยกเลิกไปเป็นเดือนก็มี

โดย ครูรีเบคก้า เล่าว่า ปัญหาการขาดแคลนครูมีมานานแล้ว แม้ว่าทางโรงเรียนพยายามประกาศรับสมัครครูมาตลอด แต่ก็ยังได้จำนวนครูมาไม่พอ และยังทำให้ครูที่ยังเหลืออยู่ต้องแบกรับภาระการสอนที่เพิ่มมากขึ้นจนป่วยจากการทำงานหนัก

ปัญหานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่โรงเรียนของครูรีเบคก้า แต่เป็นปัญหาของโรงเรียนทั่วเยอรมัน จนหลายโรงเรียนต้องลดทอนหลักสูตรให้สั้นลง บางโรงเรียนเปิดการสอนได้แค่ 4 วันต่อสัปดาห์ ที่ไม่ใช่เหตุผลเรื่อง Work life balance แต่เพราะไม่มีครูมาสอน

สื่อเยอรมันชี้ว่า โรงเรียนในเยอรมันอาจขาดแคลนครูหลายหมื่นตำแหน่ง และเนื่องจากการกำหนดรูปแบบหลักสูตร และสวัสดิการครู อยู่ในอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละ 16 แคว้น ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ก็ยิ่งทำให้การจัดการหาผู้สอนมีความยากขึ้นไปอีก

ด้านรัฐมนตรีศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง และหน่วยงานของแต่ละแคว้น พยายามหาแนวทางร่วมกันในการแก้ปัญหา ซึ่งได้ประเมินว่าทั่วประเทศน่าจะขาดแคลนครูอยู่ประมาณ 14,000 ตำแหน่ง

แต่ทว่า นักเศรษฐศาสตร์, นักวิชาการด้านการศึกษา และ กลุ่มสหภาพแรงงานครูออกมาค้านว่ารัฐบาลประเมินตัวเลขต่ำเกินไป ไม่สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต

หากประเมินจากตัวเลขนักเรียนในโรงเรียนของปีนี้ (2023) ที่มีอยู่ประมาณ 830,000 คน บางส่วนมาจากกลุ่มชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเยอรมันมากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าอัตราเด็กเกิดใหม่ในเยอรมันน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ในขณะที่เยอรมัน จำนวนครูกลับลดลงเรื่อยๆ ทุกปี หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาในวันนี้ คาดว่าในปี 2035 เยอรมันอาจขาดแคลนครูมากกว่า 56,000 ตำแหน่ง

ในขณะที่เยอรมันกำหนดให้ครูต้องจบวุฒิขั้นต่ำปริญญาตรีที่ตรงสาย แต่เพราะปัญหาการขาดแคลนครู ทำให้รัฐบาลเยอรมันอนุโลมให้ผู้ที่จบสาขาอื่นๆ ที่เข้าอบรมหลักสูตรด้านการสอนฉบับเร่งรัดสามารถบรรจุเป็นครูได้ แต่ก็เหมือนเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน เนื่องจากผลสำรวจพบว่า หนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจอาชีพครูกันแล้ว

เหตุผลเพราะว่า อาชีพครูในความคิดของหนุ่ม-สาวยุคนี้ถูกมองว่าเป็นงานหนัก ค่าตอบแทนน้อย รับผิดชอบสูง มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน แม้รัฐบาลจะกำหนดให้ครูมีชั่วโมงการสอนเฉลี่ย 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ส่วนใหญ่มักพบว่าสอนเกินเกณฑ์มาตรฐานไปไกลมาก ถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มิหนำซ้ำ หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐเสนอแนะให้เพิ่มชั่วโมงการเรียนของนักเรียน ยืดอายุวัยเกษียณของครู เพิ่มจำนวนนักเรียนในชั้น และคาดหวังเทคนิคการสอนที่หลากหลาย

ด้วยอุปสรรคหลายปัจจัยจนปวดใจ เลยทำให้เยอรมันหาครูมาสอนได้ยาก และครูหลายคนเลือกที่จะรับงานสอนแบบ Part-time มากกว่าทำงานแบบประจำเต็มเวลา เพราะมีความยืดหยุ่นในชั่วโมงการสอนได้มากกว่า

ร่ายยาวมาถึงตรงนี้ เราจึงเข้าใจ และเห็นภาพของวิกฤติครูในเยอรมัน และปัญหาที่ครูสาวรีเบคก้ากำลังเผชิญอยู่ ว่าทำไมครูในเยอรมันถึงขาดแคลน และต้องทำงานหนัก ทำไมบางโรงเรียนในเยอรมันถึงไม่สามารถเปิดสอนได้เต็ม 5 วันต่อสัปดาห์ และต้องตัดวิชาเสริม เน้นสอนแต่วิชาหลัก จนส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนโดยรวมของนักเรียนเยอรมันไปในที่สุด

สิทธิ์ให้ทุน ‘นักเรียนไทย’ มาเรียนต่อ ‘จีน’ อาจน้อยลง หลังพบเด็กไทยโกงข้อสอบ HSK โดยมีผู้คุมสอบช่วย

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก mikeawzmeaw หรือ อดีตนักเรียนไทยทุนจีน ได้โพสต์คลิปวิดีโอหัวข้อ ‘สิทธิ์ให้ทุนนักเรียนน้อยลง เพราะโกงข้อสอบ’ ซึ่งในคลิประบุว่า…

“สิทธิ์ให้ทุนนักเรียนไทยมาเรียนต่อที่ประเทศจีนอาจจะลดน้อยลง เพราะว่านักเรียนไทยทําสิ่งนี้…” ซึ่งอันนี้คือการสอบครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา มีเด็ก ‘โกงข้อสอบ’ โดยมีผู้คุมสอบ HSK5 ช่วยกันลากเมาส์ในพาร์ททั้งกาและเขียน ซึ่งตอนนี้กําลังอยู่ในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลกันอยู่ว่าความเป็นไปเป็นมามันเป็นยังไงบ้าง

ดังนั้น จะบอกได้ว่าตอนนี้ทุนที่เขาให้นักเรียนไทยไปเรียนต่อที่ประเทศจีนมันลดน้อยลงไปอยู่แล้ว และมีข่าวนี้อีก ถ้าให้ภาษาบ้าน ๆ ก็เรียกได้ว่างามหน้ามาก ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่คิดว่าเด็กไทยจะทำเรื่องแบบนี้ จึงอยากจะขอย้ำขอเตือนในฐานะที่เป็นหนึ่งคนที่เคยได้ทุนในการเรียนต่อที่ประเทศจีน ทุนนี้เขาให้เปล่าแล้วก็ให้ฟรีด้วย ทุกคนไม่ต้องใช้เงินทุนคืน แต่สิ่งที่คุณทําอยู่มันไม่ใช่แค่ส่งผลต่อตัวเอง แต่มันส่งถึงระดับประเทศระดับชาติ แล้วชื่อของคุณมันก็จะถูกแบล็คลิสต์ไป และมีโอกาสที่จะไม่ได้ใช้วีซ่าเข้าประเทศจีนอีกต่อไป ดังนั้น เพื่อน ๆ คนไหนที่คิดจะทําเรื่องนี้อยู่ ขอแนะนําว่าอย่าทําเด็ดขาด…”

หมายเหตุ : (HSK หรือ Hanyu Shuiping Kaoshi เป็นการสอบวัดระดับความสามารถภาษาจีนที่จัดขึ้นโดย Chinese Test International (CTI) ซึ่งเป็นองค์กรที่วิจัยพัฒนาข้อสอบวัดระดับภาษาจีนของชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน)

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ‘คนเก่ง’ ต้องหมั่นเรียนรู้-ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้

(23 ม.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ช่วงหนึ่งของรายการ ‘ป๋าเต็ดทอล์ก’ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.66 ในหัวข้อ ‘คนเก่ง’ และ ‘คนดี’ คือคนแบบไหน? โดย ดร.เอ้ ได้แชร์มุมมองเอาไว้ว่า…

“หนึ่ง เป็นคนที่ ‘เรียนรู้’ ซึ่งคนที่เก่งแล้วไม่เรียนรู้ ไม่ใช่คนเก่งในวันนี้แล้วล่ะ แต่คุณเป็นคนเก่งของเมื่อวาน และสองต้องเป็นคนที่ ‘ทําได้’ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนเรียนเก่ง ไม่ใช่คนเก่ง เพราะฉะนั้นสองอย่างนี้ต้องเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดและต้องทํางานเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้ถึงจะเรียกว่า ‘คนเก่ง’

ถัดมา ดร.เอ้ ได้อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคำว่า ‘คนดี’ เขาวัดกันอย่างไรว่า “อันนี้จะยากกว่าคนเก่ง จริงๆ บางทีมีคนมาให้ตังค์เราก็คิดว่าคนดีแล้ว บางทีเขาอาจไปปล้นมาก็ได้…ถ้าสําหรับผม ‘คนดี’ ต้องคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต้องเป็นคนที่เสียสละ แล้วก็อยู่ในทํานองคลองธรรม ผมว่าถึงจะเป็นคนดี…”

10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน เหมาะสำหรับศึกษาเรียนรู้-ใช้ชีวิต

การไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจจะเป็นฝันของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย และประเทศที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ก็คือ ‘ประเทศจีน’ ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย เช่น ชื่นชอบวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่เอื้อมถึง มีการสอบชิงทุน หรือแม้แต่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 

วันนี้จะพามาดู 10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน ที่เหมาะสำหรับการศึกษาเรียนรู้ และใช้ชีวิต หากใครมีแผนไปเรียนต่อที่จีน แต่ยังไม่รู้จะไปที่เมืองไหนดี ก็ลองมาเลือกดูกันได้นะ

‘ไทย’ คว้าอันดับ 7 ดัชนีของเอเชียแปซิฟิก ด้านความเป็นเลิศการศึกษา ‘STEM’

นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนสำคัญสูงสุดในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยล่าสุด Center for Excellence in Education (CEE) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรได้สร้างดัชนีความพร้อมด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกในการเปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนประเทศต่าง ๆ 

สำหรับดัชนีความเป็นเลิศของ CEE ในด้านการศึกษา STEM จะประเมินว่านักเรียนมีความพร้อมทางวิชาการสำหรับการแข่งขันระดับโลก โดยจะเปรียบเทียบผลงานโอลิมปิกวิชาการโดยรวมตามประเทศ คำนวณค่าเฉลี่ยและการจัดอันดับตามประเทศที่เข้าร่วม และตรวจสอบผลงานของนักเรียนในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ STEM ทั้ง 5 รายการ

ทั้งนี้ ดัชนีฯ ดังกล่าวช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและนักการศึกษามีเครื่องมือสำคัญในการวัดว่านักสร้างสรรค์รุ่นต่อไปของแต่ละประเทศมีอนาคตดีเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สร้างนวัตกรรมทั่วโลก โดยการพัฒนาเศรษฐกิจจีนมีความเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของจีนในการแข่งขัน STEM Olympiads การทบทวนวิธีที่จะฝึกอบรมผู้นำรุ่นต่อไปจะต้องรวมเครื่องมือนี้ไว้ด้วย

สำหรับ ดัชนีฯ นี้จะแสดงข้อมูลต่อไปนี้ตามผลรวมของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนานาชาติในสาขาชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และสารสนเทศ (IT) โดยในการจัดอันดับดัชนีฯ พบว่า อันดับ 1. ได้แก่ จีน อันดับ 2. เกาหลีใต้ อันดับ 3. สิงคโปร์ อันดับ 4. เวียดนาม อันดับ 5. ญี่ปุ่น อันดับ 6. ไต้หวัน อันดับ 7. ไทย อันดับ 8. อิหร่าน อันดับ 9. อินโดนีเซีย อันดับ 10. อินเดีย อันดับ 11. ออสเตรเลีย และอันดับ 12. ฮ่องกง

ซึ่งดัชนีฯ ยังเผยให้เห็นว่าในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศในเอเชียได้เข้ามาครองการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ส่งผลให้ผลงานของนักเรียนจากยุโรปลดลง ตัวอย่างเช่น เยอรมนี เป็นประเทศแรกในปี 1989, 1988 และ 1982 แต่หลังจากนั้นก็ถูกเขี่ยออกจาก 30 อันดับแรก แม้ว่าจะมีประชากรเพียง 1/8 ของเยอรมนี แต่ฮังการีก็ยังคงรั้งอันดับที่ 20 ได้ ซึ่งถือเป็นการลดลง จากอันดับ 1 หรือ 2 ที่ได้รับในทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 

โดยน่าประหลาดใจที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่า 6 ล้านคน (น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของฮังการี) สามารถเสมอกับเวียดนามเป็นอันดับที่ 5 ได้ การทบทวนผลงานของทีม USA ตั้งแต่ปี 1993 ถึงปัจจุบันเผยให้เห็นอันดับเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นแนวโน้มแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากการจัดอันดับอันดับที่หกโดยประมาณเป็นอันดับสองหรือสามรองจากจีน

นอกจากนี้ การแข่งขันที่ดุเดือดในธุรกิจระดับโลกได้ผลักดันให้นักศึกษามีความเป็นเลิศในการแข่งขันทางวิชาการเพื่อที่จะโดดเด่น จากข้อมูลของ DiGennaro รัฐบาลส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนโครงการโอลิมปิกวิชาการในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการฝึกอบรมและทรัพยากรอื่นๆ เช่น ครูและนักเรียน อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

โดยประเทศจีนได้ลงทุนมหาศาลในการแข่งขันเหล่านี้ และอาจจะทำให้จีนได้เปรียบอย่างมากนอกเหนือจากการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สิ่งสำคัญ คือ ต้องเน้นว่าจีนใช้เงินจำนวนมากกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งลดลงในยุโรป

5 ประเทศที่ ‘คนเวียดนาม’ ไปเรียนต่อมากที่สุด

จากข้อมูลของ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 2021 เวียดนามเป็นประเทศอาเซียนที่มีประชากรออกไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ จำนวนทั้งหมด 137,022 คน

โดยจุดหมายยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น (44,128 คน) เกาหลีใต้ (24,928 คน) สหรัฐอเมริกา (23,155 คน) ออสเตรเลีย (14,111 คน) แคนาดา (8,943 คน) นอกจากนี้ ตัวเลขนักเรียนนอกของเวียดนามเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนยังเรียกได้ว่านำแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะอันดับ 2 อย่าง ‘อินโดนีเซีย’ นั้นมีจำนวนนักเรียนที่ไปเรียนต่างประเทศเพียง 59,224 คน อันดับ 3 อย่าง ‘มาเลเซีย’ มี 48,810 คน ขณะที่ ‘ไทย’ ที่มาเป็นอันดับที่ 4 มีทั้งหมด 28,609 คน

ปัจจัยที่ทำให้เวียดนามมีนักเรียนออกไปเรียนต่างประเทศได้มาก มีทั้ง ‘ค่านิยมในการออกไปเรียนต่างประเทศของชาวเวียดนาม’ เอง ในกรณีที่เป็นครอบครัวมีฐานะและมีกำลังส่งลูกหลานไปเรียน และ ‘ทุนการศึกษาจากต่างประเทศ’ 

โดยในหมู่ทุนการศึกษาทั้งหมด ทุนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ คือ ทุนจากมูลนิธิ Vietnam Education Foundation (VEF) ที่ ‘สหรัฐอเมริกา’ ตั้งขึ้นในปี 2003 เพื่อให้ทุนการศึกษาเด็กเวียดนามไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ โดยใช้เงินจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เวียดนามส่งเป็นเงินใช้หนี้สงครามให้สหรัฐฯ ทุกปี โดยส่วนมากจะได้เข้าศึกษาในคณะและสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในมหาวิทยาลัยดังระดับโลกต่าง ๆ ทั้ง Harvard และ Stanford

ความสำคัญของทุนนี้เห็นได้ชัดจากผลงานของผู้ได้รับทุนเก่าที่ส่วนมากกลับมาทำงาน และประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ในประเทศ โดยเฉพาะสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี โดยผลงานที่โดดเด่นของผู้ได้รับทุน VEF ก็อย่างเช่น Palexy บริษัทสตาร์ตอัปด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง และ VNG บริษัทยูนิคอร์นเจ้าของแอปแชท Zalo ที่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมในเวียดนามมากกว่า Facebook

นี่ทำให้นอกจากเวียดนามจะมีเด็กไปเรียนต่างประเทศเป็นจำนวนมากแล้ว จำนวนหนึ่งยังเป็นผู้ที่กำลังศึกษาด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแรงงานที่เป็นที่ต้องการมากในหลาย ๆ ประเทศที่กำลังแข่งขันกันสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้ง เวียดนามที่มีการเติบโตรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีศักยภาพในการดึงแรงงานกลับประเทศ ไม่เกิดปรากฏการณ์ ‘สมองไหล’ อย่างที่ผ่านมา

ปัจจุบัน เวียดนามมีตลาดงานที่พร้อมรองรับบัณฑิตศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เพราะเป็นประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ สนใจเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น LG และ Alibaba และมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงต่าง ๆ โดยในปี 2020 มีการส่งออกสินค้าในประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 42% เพิ่มจากเพียง 13% ในปี 2010

จากการศึกษาของ Google, Temasek, และ Bain เวียดนามจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตมากที่สุดในภูมิภาคภายอาเซียนภายในปี 2025 และดึงดูดเงินลงทุนได้มากที่สุดในระหว่างปี 2025-2030


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top