Thursday, 25 April 2024
สำนักข่าววัยเรียน

'น้องหมิว' สาวสูง 92 ซม. นักศึกษาทุน “พระพันปีหลวง” เกียรตินิยมอันดับ 2 เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มรภ.บุรีรัมย์

เปิดใจสาวพิการตัวเล็กบุรีรัมย์ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร  เศรษฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จากสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เผยตั้งความหวังอยากรับปริญญาตั้งแต่เด็ก พ่อ แม่ เพื่อนๆ เป็นแรงใจจนประสบผลสำเร็จ
.
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า  ได้เดินทางไปพบ นางสาววราภรณ์ สร้อยเสน หรือน้องหมิว อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/3 หมู่ 3 ต.ทุ่งวัง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ที่สวมครุยเพื่อเตรียมตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 17-26 กันยายน 2565 ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ โดยในวันนี้ เป็นการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับ ปริญญาเอก โท ตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ จำนวน 4,525 คน ที่หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร
.
นางสาววราภรณ์ สร้อยเสน หรือน้องหมิว เปิดเผยว่า ตนเกิดมาไม่สมประกอบ มีความพิการที่ขาและนิ้วมือ โดยมีความสูงเพียง 92 ซม. อยู่ที่บ้านกับบิดา มารดา น้องชายและน้องสาวรวม 5 ชีวิต ในสมัยที่ตนเป็นเด็ก ได้เห็นข่าวการรับปริญญาจึงเกิดความฝันว่าตัวเองก็อยากรับปริญญาบ้าง แต่จากข้อจำกัดทางด้านร่างกายและสุขภาพ ทางบ้านจึงบอกให้อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องไปเรียน ซึ่งตนเชื่อว่าไปเรียนได้ มารดาก็เลยไปส่งเข้าเรียนชั้นอนุบาล ก็ได้เพื่อนๆ คอยช่วยเหลือ ไปรับ - ส่ง ไปโรงเรียนบางครั้งก็ได้พ่อและแม่เป็นแขนขาให้ ซึ่งด้วยความรบเร้าอยากเรียนต่อ ทางบ้านจึงยินยอมให้ไปเรียน จนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และคิดว่าทำอย่างไรจะได้รับพระราชทานปริญญาเหมือนเช่นคนอื่นตามที่ได้ตั้งใจไว้ ซึ่งก็รบเร้ากับมารดาอีกจนท่านใจอ่อน จากนั้นได้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ แต่แม่ไม่มีเงินส่งให้เรียน ความฝันว่าจะได้เรียนก็พังสลายลง
.
น้องหมิว เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า ตนกลับไปนอนคิดอยู่หลายตลบ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานทุนการศึกษา ซึ่งตอนนั้นได้แต่ภาวนาให้จดหมายไปถึงสำนักราชเลขาธิการ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงพระประชวร  แต่ต่อมาก็ได้รับหนังสือตอบกลับจาก กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง ระบุว่า”จะส่งเรียนจนจบระดับปริญญา”ความรู้สึกตอนนั้นดีใจจนบอกไม่ถูก รู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้

รู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2

หลังจากที่เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และเจ้าชายแฮรี่  นำขบวนพระราชนัดดาอีก 6 พระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 เข้าพิธีประทับยืนสงบนิ่งเฝ้าหีบพระบรมศพ ณ เวสต์มินส์เตอร์ ฮอลล์ ในกรุงลอนดอน ในวันที่ 17 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา สาธารณชนชาวอังกฤษได้จับตามองมาที่ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระโอรสองค์ที่ 2 ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ และพระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2 เป็นพิเศษ 
.
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังทรงพระเยาว์ วัยเพียง 14 ปี มีความน่าเอ็นดู แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสงบนิ่ง สุขุมเกินวัย ในการประกอบราชพิธีสำคัญระดับชาติ ร่วมกับ พระญาติที่สูงกว่าทั้งวัยวุฒิ และยศถาบรรดาศักดิ์กว่าได้อย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่ประทับใจชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากที่ได้ชมพิธีผ่านสื่อ 
.
และทำให้ระลึกถึงอดีตเจ้าชายวิลเลียม ในวัย 15 พรรษา ในงานพิธีศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่จัดขึ้นในวันที 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น อยู่ไม่น้อย
.
วันนี้ เรามาทำความรู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์องค์น้อยที่กลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนอังกฤษในวันนี้กันดีกว่า 
.
 เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น มีชื่อจริงเต็มๆว่า "เจมส์ อเล็กซานเดอร์ ฟิลิป ธีโอ" และใช้นามสกุล "เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์" สื่อมวลชนมักเรียกชื่อแบบย่อว่า "เจมส์ วินเซอร์" ปัจจุบัน ดำรงพระยศเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" นับเป็นทายาทลำดับที่ 14 ของราชวงศ์อังกฤษ  เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่เมืองเซอร์รีย์  บิดา คือ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นพระโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 มารดา คือ ท่านหญิง โซฟี เฮเลน ไรนส์-โจนส์ 
.
ซึ่งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิง โซฟี มีธิดาองค์ต่อ คือ เลดี้ หลุยส์ อายุ 18 ปี และกำลังเข้าศึกษาต่อสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่ University of St. Andrews ในสกอตแลนด์ ในภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ 
.
ในช่วงวัยทารกของ เจมส์ วินเซอร์ เขากลายเป็นที่รักของคนในครอบครัวอย่างมาก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระบิดาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า เจมส์เป็นเด็กทารกที่น่ารัก น่ากอดมากๆ และทั้งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิงโซฟี ก็ตั้งใจที่จะเลี้ยงบุตร ธิดา ให้เติบโตขึ้นอย่างเด็กๆทั่วไป ด้วยการขอพระราชทานอนุญาตจากควีน เอลิซาเบธที่ 2 ขอสละฐานันดร "เจ้าชาย" "เจ้าหญิง" ของบุตร ธิดาของท่าน รวมถึงให้ละคำนำหน้าชื่อด้วยอักษรย่อ  "H.R.H" ( His Royal Highness) ที่ใช้นำหน้าชื่อพระบรมวงศานุวงศ์ระดับเจ้าฟ้า 
.
ซึ่งท่านหญิงโซฟี ผู้เป็นมารดาให้เหตุผลว่า ต้องการเลี้ยงลูกๆ ให้เติบโตพร้อมตระหนักในหน้าที่ว่าจำเป็นต้องประกอบสัมมาชีพเพื่อดูแลครอบครัวให้ได้เหมือนคนทั่วไป ส่วนฐานันดรศักดิ์ จะให้สิทธิลูกๆ เป็นคนตัดสินใจเองเมื่อบรรลุนิติภาวะ แต่ทั้งนี้ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดำรงพระอิสริยยศเป็นเอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางของอังกฤษที่มีการสืบทอดทายาทได้ ดังนั้น เจมส์ วินเซอร์ จึงได้รับตำแหน่งเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" ในฐานะที่เป็นทายาทของเอิร์ล นั่นเอง
.
ปัจจุบัน  เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น ศึกษาในโรงเรียน Eagle House School ที่ตั้งอยู่ภายในราชมณฑลบาร์กเชอร์  และช่วงเวลาที่ผ่านมา เจมส์ วินเซอร์ แทบไม่เคยเปิดเผยตนออกสื่อในอังกฤษ จึงทำให้ชาวอังกฤษไม่คุ้นหน้าของพระราชนัดดาองค์เล็กพระองค์นี้นัก แม้ว่า ไวส์เคาท์ เซเวิร์น และ เลดี้ หลุยส์ จะร่วมงานพิธีสำคัญของราชวงศ์หลายงาน อาทิ งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายแฮรี่ และ เมแกน มาร์เคิล หรืองานฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

ชวนชมนิทรรศการ “ช้างมงคล” จากตำราคชศาสตร์ โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ

กรมศิลปากรโดยกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดนิทรรศการเรื่อง “ช้างมงคล” เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับช้างจากเอกสารโบราณ
.
ข้อมูลนิทรรศการสังเขป ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กับสังคมมนุษย์มาแต่โบราณกาล แม้โดยธรรมชาติช้างเป็นสัตว์ป่ารูปร่างใหญ่โตมีพละกำลังมากมายมหาศาล แต่ช้างก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือ มีอิริยาบถที่สง่างาม เฉลียวฉลาด แข็งแรง อดทน สามารถฝึกสอนให้เรียนรู้ได้ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระเจ้าแผ่นดินของไทยในสมัยโบราณ ทรงใช้ช้างเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญสำหรับกองทัพ โดยใช้ช้างเป็นส่วนหนึ่งของกำลังพลในการต่อสู้ขณะทำสงคราม ด้วยวิธีการชนกับช้างข้าศึก ใช้แทนกำลังทหารเพื่อทำลายประตูเมือง กำแพงเมือง ป้อม ค่าย บุกไล่ ทำลายทหารในกองทัพข้าศึก ใช้เป็นพาหนะบรรทุกปืนใหญ่ และสิ่งของเครื่องสรรพาวุธยุทโปกรณ์ รวมทั้งสัมภาระต่างๆ การศึกสงครามแต่ละครั้ง ช้างมีส่วนช่วยปกป้องรักษาบ้านเมืองให้พ้นภัย และขยายขอบเขตของอาณาจักรให้กว้างขวางออกไป
.
เมื่อบ้านเมืองเลิกใช้ช้างเพื่อการศึกสงคราม อีกทั้งกรมพระคชบาลของหลวงก็เลิกล้มไป ความรู้เกี่ยวกับช้างจึงหมดความจำเป็นสำหรับกิจการบ้านเมือง เป็นเหตุให้ความต้องการอยากเรียนรู้เรื่องช้างหมดไปด้วย เมื่อขาดการสืบทอดผู้มีความรู้เรื่องช้างก็ลดจำนวนลงเป็นลำดับ ปัจจุบันคนรักช้างได้พยายามฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับช้างมากขึ้น นับเป็นนิมิตอันดีอย่างยิ่งที่มรดกวัฒนธรรมของชาติชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งนี้ เริ่มได้รับความสนใจ มีความพยายามรื้อฟื้นให้มีการเผยแพร่และสืบทอด จึงเป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ เรื่อง “ช้างมงคล” มีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 
.
ส่วนที่ 1 นำเสนอความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในสมัยโบราณที่ใช้เรียกอวัยวะส่วนต่างๆ ของช้าง 
ส่วนที่ 2 จะเป็นความรู้เกี่ยวกับการกำเนิดของช้างมงคลตามตำราคชศาสตร์ที่ปรากฏในเอกสารโบราณว่าช้างศุภลักษณ์ หรือช้างที่มีลักษณะมงคล พร้อมทั้งมีภาพประกอบจากเอกสารโบราณ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ตระกูล คือ 1. ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ 2. ช้างตระกูลพรหมพงศ์ 3. ช้างตระกูลวิษณุพงศ์ 4. ช้างตระกูลอัคนิพงศ์ 
ส่วนที่ 3 ทำเนียบนามช้างหลวงประจำรัชกาลในราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๙ พร้อมจัดแสดงเอกสารโบราณที่บันทึกทำเนียบนามช้างสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์  
ส่วนที่ 4 การเปรียบเทียบความแตกต่างลักษณะทางกายภาพและถิ่นฐานระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกา
ส่วนที่ 5 การนำเสนอสารคดีเรื่องช้างไทย และการเล่นเกมส์โชคช้าง เป็นการเสี่ยงทายจากตำราโบราณ เพื่อให้ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการได้ร่วมสนุก
.
ผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการหมุนเวียน เรื่อง “ช้างมงคล” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2565 วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.30 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น. (หยุดวันนักขัตฤกษ์) ณ ห้องวชิรญาณ 2 – 3 อาคาร 2 ชั้น 1 สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ

“ยะลา” จังหวัดผังเมืองสวย อันดับ 1 ของไทย อันดับ 23 ของโลก

“ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดยะลาได้เป็นอย่างดี ความงามประการแรกที่ใครหลาย ๆ คนคำนึงถึง คงไม่พ้นเมืองที่มีผังสวยที่สุดของประเทศไทย จากการที่เทศบาลนครยะลาได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการพิจารณาในส่วนของโซนเอเชียและแปซิฟิค เมื่อปี พ.ศ.2546 จนผ่านการตัดสินชนะเลิศจากกรรมการตัดสินชุดใหญ่ของ UNESCO ได้รับรางวัล UNESCO Cities และมีเว็บไซต์ชื่อดัง จัดอันดับ "ยะลา" ให้เป็นผังเมืองที่ดีที่สุด อันดับที่ 23 ของโลกในปี 2560 และนับได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย 
.
การวางแผนผังเมืองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นเครื่องมือหนึ่งในฐานะกฎหมายที่มีบทบาทในการกำหนดประเภทการที่ดินและกิจกรรมต่าง ๆของมนุษย์ และเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาในอนาคตอีกด้วย หากไม่มีการวางผังเมืองก็จะทาให้เกิดปัญหาต่างๆ กับเมือง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเจริญเติบโตอย่างไร้ทิศทางของเมือง ปัญหาชุมชมแออัด ปัญหาทางด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาการป้องกันภัยธรรมชาติ และยังยากต่อการวางแผนนโยบายการพัฒนาต่อยอด เมืองในอนาคตอีกด้วย
.
วางผังเมืองก่อนจะเป็นเมือง :  เมืองยะลา เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองใหญ่ในประเทศไทยที่มีการวางผังเมืองตั้งแต่ก่อนเริ่มก่อร่างสร้างเมือง สมัยที่ชุมชนเมืองยะลายังเป็นชุมชนขนาดเล็กเกาะตัวอยู่ใกล้สถานีรถไฟ รายล้อมด้วยสวนยางและป่าไม้ การตัดถนนจึงดำเนินการไปในพื้นที่สวนและป่าเป็นส่วนใหญ่ จุดเริ่มต้นของการวางผังเมืองยะลา การวางผังเมืองยะลานั้นริเริ่มโดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) อดีตข้าหลวงคนที่ 10 ของจังหวัดยะลา (พ.ศ.2456-2458) ซึ่งเมื่อลาออกจากราชการแล้วได้รับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองยะลาถึงสองสมัย (พ.ศ.2480-2488)
.
พระรัฐกิจวิจารณ์ได้ร่วมกับสหาย ข้าราชการ วางผังเมืองยะลาโดยได้รับการเสนอแนะจากแผนกผังเมือง กรมโยธาเทศบาล วางผังเมือง ยะลา โดยเรียกว่า ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 2485 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) มีการวางแผนการกำหนดพื้นที่การใช้ที่ดินในเขตเมือง และการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ภายในเมือง ในการริเริ่มดำเนินงาน พระรัฐกิจวิจารณ์และสหายข้าราชการ ได้ร่วมกันหาศูนย์กลางของเมืองแล้วจึงปักหลักก้อนใหญ่และมีก้อนหินไว้เป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายหลังได้เป็นที่ตั้งของศาลหลักเมือง และได้วางแผนผังเมืองเป็น วงเวียนรอบศูนย์กลางเมือง ทั้งสิ้น 3 วง โดยเตรียมที่ดินในบริเวณนี้ไว้เป็นสถานที่ราชการ คือ บริเวณวงในสุด เป็นสถานที่ราชการต่าง ๆ เช่น ศาลากลาง จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานที่ดิน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วงเวียนที่สอง คือ บ้านพักข้าราชการ และวงเวียนที่สาม ซึ่งเป็นวงเวียนสุดท้ายเป็นที่ตั้งของ โรงเรียน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัยของประชาชน
.
มีการสร้างถนนเข้ามายังศูนย์กลางเมืองที่เรียกว่า กิโลศูนย์ และตัดถนนสายต่าง ๆ กว่าทั่วทั้งเมืองยะลา ถนนพิพิธภักดี เริ่มจากสถานีรถไฟยะลาไปยังกิโลศูนย์ ถนนสุขยางค์ จากหอนาฬิกาไปถึงกิโลศูนย์ ถนนสิโรรสจากสถานีรถไฟยะลาถึงหน้าโรงพยาบาล ปัจจุบันถนนพิพิธภักดีและถนนสิโรรสเป็นถนนสายเอกของเทศบาลเมือง มีความสวยงาม ถนนพิพิธภักดี ซึ่งเป็นถนนคู่ มีทางเดินเท้าและช่องทางจักยาน และปลูกต้นประดู่เรียงรายไว้ตามเกาะกลาง และมีการตัดถนนสายย่อย ๆเป็นรูปสี่เหลี่ยมหมากรุก ได้แก่ ถนนยะลา ถนนไชยจรัส ถนนรัฐกิจ ถนนประจิน ถนนพังงา และถนนรวมมิตร เป็นต้น การตัดถนนเหล่านี้ได้ยึดหลักเกณฑ์ที่ว่าในการวางผังเมืองและตัดถนนได้แบ่งตัดซอยให้หลังบ้านชนกันแต่ห่าง 4 เมตร สำหรับ เป็นที่วางขยะ ถังขยะและสะดวกต่อการดับเพลิง 
.
กำหนดรูปแบบการใช้ที่ดินไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม : ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 85 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) ซึ่งถือว่า เป็นการวางแผนผังเมืองยุคแรกๆ ของประเทศไทยนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า พระรัฐกิจวิจารณ์ ไม่ได้เน้นเพียงแค่รูปแบบที่มี ความสวยงามของ ผังเมืองเท่านั้น แต่ยังได้จัดสรร จัดประเภทการใช้ที่ดินเข้าเป็นหมวดหมู่เดียวกัน โยการกำหนดรูปแบบ และการใช้ที่ดินในเมืองยะลา แบ่งไว้อย่างชัดเจน เป็น 6 ประเภท ซึ่งเป็นแนวทางในการต่อยอดพัฒนาเมืองเรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
.
ประเภทที่ 1 พื้นที่สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ พื้นที่สถาบันราชการของเมืองยะลานั้นจะวางอยู่ บริเวณศาลหลักเมือง และวงเวียนหลักทั้งสามวงเวียน และถนนสิโรรส
.
ประเภทที่ 2 พื้นที่โล่งและนันทนาการ และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เมืองยะลานั้นได้รับสมญานามว่า เมืองแห่งสวน  ซึ่งทั่วทั้งเมืองยะลา ประกอบด้วยสวนและนันทนาการต่าง ๆ ดังนี้
•    สวนขวัญเมือง (พรุบาโกย) สร้างบนพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 207 ไร่ ประกอบด้วย สวน สนามกีฬา สนามแข่งขันนกเขาชวาเสียง ซึ่งเป็นสนามมาตรฐานที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และชายหาดจำลอง 
•    สวนศรีเมือง เป็นสวนที่สร้างเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และคันกั้นน้าริมแม่น้ำปัตตานี เริ่มต้นจาก บริเวณตลาดเมือง ใหม่ถึงบริเวณสะพานข้ามทางรถไฟ เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างแล้ว เสร็จปี พ.ศ. 2546
•    สวนสาธารณะบ้านร่ม แหล่งพักผ่อนหย่อนใจริมน้ำบ้านสะเตง เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะใจกลาง เมืองของเทศบาลนครยะลา ประกอบด้วยต้นไม้นานาพรรณและศาลาริมน้ำรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ของ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
•    สวนสาธารณะสนามช้างเผือก (สนามโรงพิธีช้างเผือก) มีพื้นที่ 80 ไร่ เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างเผือก "พระเศวตสุรคชาธาร" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2511 ภายในสวนสาธารณะมีศาลากลางน้ำ รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ และสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ที่ใช้จัดกิจกรรม ต่าง ๆ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ 
•    สวนมิ่งเมือง สวนกิจกรรมเพื่อเยาวชนประกอบไปด้วยสวนย่อย ๆ 4 สวน ได้แก่ สวนมิ่งเมือง หรือ บาโร๊ะบารู 1-4 สวนสาธารณะมิ่งเมืองมีความยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร โดยสวนมิ่งเมือง 4 เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  ภายในสวนประกอบด้วย สนามฟุตบอลหญ้าเทียม และสนามเด็กเล่น 
•    ศูนย์เยาวชนยะลา ประกอบไปด้วยสนามขนาดใหญ่เพื่อใช้รองรับการจัดงานสำคัญๆระดับจังหวัด ซึ่งในยาม ปกติชาวเมืองยะลาจะใช้เล่นฟุตบอล ออกกำลังกาย และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ฟิตเนสของเทศบาล นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ อุทยานการเรียนรู้ยะลา (TK PARK YALA) ซึ่งเป็นอุทยานการเรียนรู้แห่งแรกในส่วนภูมิภาค
•    สนามกีฬาชุมชนจารู เป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอลหญ้าเทียมขนาดมาตรฐานแห่งเดียวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสเตเดียม ถือว่าเป็นสนามกีฬาที่มีความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬาทั้งในระดับจังหวัด และภูมิภาค
•    บึงแบเมาะ บึงแบเมาะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณชุมชนตลาดเก่า ติดกับเขาตูม และค่าย สิรินธร บึงแบเมาะถือว่าเป็นบึงที่มีความสำคัญของเมือง ในฐานะเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำขนาด ใหญ่ และนอกจากนี้ทางเทศบาลยังมีนโยบายพัฒนาบึงให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และนันทนาการ
.
ประเภทที่ 3 พื้นที่พาณิชยกรรม ตั้งรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน โดยมีถนนสายสำคัญๆ ของเมืองล้อมรอบ ได้แก่ ถนนสิโรรส ถนนพิพิธภักดี ถนนสุขยางค์ โดยชาวยะลามักเรียกพื้นที่พาณิชยกรรมว่า “สายกลาง” นอกจากนี้ เมืองยะลายังมีตลาดขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง ได้แก่ ตลาดเมืองใหม่ ตลาด สดผังเมืองสี่ ตลาดนัดเสรี ตลาดเช้า และตลาดหลังสถานีรถไฟบริเวณถนนวิฑูรอุทิศ ย่านตลาดเก่ากระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
.
ประเภทที่ 4 พื้นที่ที่อยู่อาศัย เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ซึ่งประชากรจะอาศัยอยู่ หนาแน่นบริเวณเขตพาณิชยกรรม และลดลงเรื่อยๆ จนกระทั้งกระทั้งเข้าพื้นที่เมืองสะเตงนอก โดยพื้นที่ ประชากรหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) จะล้อมรอบพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม)
.
ประเภทที่ 5 พื้นที่เกษตรกรรม อยู่บริเวณขอบนอกของเมือง และประเภทที่ 6 พื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้า ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ตลาดเก่า และถนน เทศบาล 1 โดยพื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้านั้นพบได้น้อยมากในเขตเมืองยะลา

กำเนิด 'เครื่องล้างจาน' แรกของโลก | Click on Clever EP.21

?Click on Clever EP.21 กำเนิด 'เครื่องล้างจาน' แรกของโลก

“เครื่องล้างจาน” สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้กิจกรรมน่าเบื่อหน่ายง่ายดายขึ้น
ใครคือผู้คิดค้น “เครื่องล้างจาน” คนแรกของโลก ด้วยสาเหตุสุดแปลก เพราะ “โมโหจานแตก” วันนี้จะพาไปรู้จักเธอกัน!!

✅ดำเนินรายการโดย (กันต์) ธนพัฒน์ แจ่มปรีชา 

?ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

เส้นทาง นักร้อง Cover ลงยูทูบ เตะตาค่ายได้ออกซิงเกิ้ล "พีช ปณิชา" | Click on Crazy EP.12

? Click on Crazy EP.12 เส้นทาง นักร้อง Cover ลงยูทูบ เตะตาค่ายได้ออกซิงเกิ้ล "พีช ปณิชา"

?ปณิชา เมธวิชิตชัย (พีช)
นักร้อง

✅ดำเนินรายการโดย แองจี้ THE STUDY TIMES 

⏰ วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม เวลา 2 ทุ่มตรง

?ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

เปิดใจเจ้าพ่อดาราโฆษณา ทุกสินค้าต่างแย่งชิง "แมน เสฏฐวุฒิ" | Click on Crazy EP.13

? Click on Crazy EP.13 เปิดใจเจ้าพ่อดาราโฆษณา ทุกสินค้าต่างแย่งชิง "แมน เสฏฐวุฒิ"

?เสฏฐวุฒิ พรธนาวุฒิ (แมน)
นักแสดง 

✅ดำเนินรายการโดย แองจี้ THE STUDY TIMES 

⏰ วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 2 ทุ่มตรง

?ช่องทางรับชม 
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

ทักษะแห่งอนาคตโลก 4.0 วัยเรียน-วัยแรงงาน -ผู้สูงวัย ต้องมี

ปัจจุบันมีจำนวนประชากร 5 คน ทำงานเลี้ยงผู้สูงอายุ 1 คน คาดว่าปี 2583 ประเทศไทยจะเหลือประชากรไม่ถึง 2 คน ทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็น ควบคู่การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุปรับตัวเข้ากับโลกแห่งความทันสมัย
.
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ของโลกศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป  และการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น การเตรียมพร้อมคุณภาพของคนให้มีทักษะแห่งอนาคตที่จำเป็น โดยจากการศึกษาจำแนก การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการพัฒนาคนไทยออกเป็น 5 สถานการณ์ ได้แก่
.
1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
2. ช่องว่างระหว่างวัยที่กว้างขึ้น เพราะประสบการณ์บริบทชีวิต และความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
3. การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นวงกว้าง
4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาชีพและรูปแบบการทำงาน มีทั้งอาชีพเกิดใหม่และหายไป
5. กระบวนการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายขึ้น เน้นการเรียนเชิงรุกและบูรณาการข้ามสาขา
.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้นำเสนอทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคต เพื่อเตรียมการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกช่วงวัย รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกศตวรรษที่ 21 เริ่มด้วย
.
ช่วงปฐมวัย (0-5 ปี) การพัฒนาช่วงวัยนี้ควรเปิดโอกาสให้เด็กๆได้สำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างปลอดภัย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีมุมมองต่อโลกอย่างกว้างขวาง มีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทุกด้านพร้อมกัน ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ควบคู่กับการพัฒนาผู้ปกครอง ผู้ดูแลและครูให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะ มี 5 อันดับทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคตดังนี้
1.การคิดเชิงสร้างสรรค์
2.ความอยากรู้อยากเห็น
3.ความสามารถทางกายภาพ การแก้ปัญหา และการสื่อสาร
4.การอ่านออกเขียนได้
5.ความเข้าใจและการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล การเข้าใจผู้อื่น
.
ช่วงวัยเรียน/วัยรุ่น (5-21ปี) การพัฒนาช่วงวัยนี้ควรให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นหลากหลาย ครอบคลุมการพัฒนาทั้งกาย ใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ตลอดจนทักษะพื้นฐานและทักษะที่เชื่อมสู่โลกการทำงาน ไม่จำกัดการเรียนรู้อยู่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว ส่งเสริมการค้นหาตัวตนและความถนัดของเด็ก และมีช่องทางการเรียนรู้ที่ตอบสนองได้ทั้งในและนอกระบบโดยมี 5 อันดับทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคต
1.ความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
2.การอ่านออกเขียนได้
3.การเป็นผู้เรียนเชิงรุก
4.การเป็นพลเมืองที่ดี
5.ความอยากรู้อยากเห็น การคิดเชิงสร้างสรรค์
.
ช่วงวัยแรงงาน(15-59 ปี )การพัฒนาในช่วงวัยนี้ควรเสริมสร้างความต้องการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยโอกาสในการพัฒนาตนเองดังกล่าว ควรควบคู่กันทั้งการเรียนรู้อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มี 5 อันดับทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคตดังนี้ 
1.ความเข้าใจและการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล การแก้ปัญหา
2.ความรู้ทางธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ
3.การคิดเชิงสร้างสรรค์
4.การทำงานร่วมกับผู้อื่น
5.การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลาย
.
ช่วงวัยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ซึ่งการพัฒนาในช่วงวัยนี้ควรมีรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงวัย โดยเฉพาะ สนับสนุนการนำความรู้และประสบการณ์ของผู้สูงวัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ชุมชน และตัวผู้สูงวัยเอง เพื่อเสริมสร้างคุณค่าและต่อยอดบทบาทในสังคมของผู้สูงอายุ และรับมือกับการเข้าสู้สังคมผู้สูงวัยอย่างยั่งยืนโดย 5 อันดับทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคต  
1.การปรับตัว
2.การมองโลกในแง่ดี
3.ความเข้าใจและการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล
4.ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ การเข้าใจผู้อื่น
5.การแก้ปัญหา
.
แล้วแนวทางการส่งเสริมในแต่ละช่วงวัย ควรปฎิบัติอย่างไร ? เราแบ่งได้ดังนี้ 
1. นโยบายการศึกษา
•    ช่วงปฐมวัย : มีนโยบายและงบประมาณทางการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยโดยเฉพาะ ครอบคลุมการเตรียมความพร้อมทั้งเด็กและผู้ดูแล
•    ช่วงวัยเรียน : ปฎิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนให้ทันสมัย สอดคล้องความต้องการและจำเป็น ควบคู่กับการยกระดับวิชาชีพและการจัดการศึกษาแบบกระจายอำนาจ
•    ช่วงวัยทำงาน : ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีเงินทุนแรงงานเพื่อการพัฒนาตนเอง สนับสนุนการเรียนรู้ในที่ทำงาน โดยมีหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ และสายอาชีพที่ต่างกัน
•    ช่วงผู้สูงอายุ : จะมีนโยบายพัฒนาทักษะ ส่งเสริมการจ้างงานและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุให้ผู้สูงอายุยังมีบทบาทและสามารถเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศ
.
2. กระบวนการเรียนรู้
•    ช่วงปฐมวัย : ใช้กิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงอายุ ลักษณะการเรียนรู้ และความสนใจของแต่ละคน เน้นการเรียนแบบแบ่งปันความคิดร่วมกันและการจัดการเรียนรู้ที่ไม่เป็นทางการ
•    ช่วงวัยเรียน : เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการร่วมกับการทำงาน เสริมสร้างสมรรถนะจากประสบการณ์จริง และมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดการศึกษา
•    ช่วงวัยทำงาน : เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  นำความเชี่ยวชาญของผู้เรียนมาเป็นฐาน สามารถวางแผนการเรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง มีการอบรมที่มีคุณภาพ และเรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการทำงาน
•    ช่วงผู้สูงอายุ : ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะกับช่วงวัย เน้นฝึกการอบรมเชิงประสบการณ์ การอภิปราย การบูรณาการ การเรียนรู้แบบร่วมมือ และมุ่งต่อยอดทักษะ ความรู้เดิม
.
3. สภาพแวดล้อม
•    ช่วงปฐมวัย : สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เอื้อต่อการเรียนรู้ร่วมกัน สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์สร้างพัฒนาการทางสมอง และให้อิสระแก่เด็ก
•    ช่วงวัยเรียน : ออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ที่เชื่อมโยง เป็นสัดส่วน สามารถรองรับกิจกรรมการเรียนและการทำงานที่แตกต่างกันได้  ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฎิบัติจริง เกิดปฎิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนระหว่างกัน
•    ช่วงวัยทำงาน : ส่งเสริมการเรียน การมีส่วนร่วม และการเติบโตร่วมกันภายในองค์กร มีเส้นทางความก้าวหน้าของอาชีพที่ชัดเจน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้พนักงานพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ
•    ช่วงผู้สูงอายุ : พัฒนาสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ ผู้สูงอายุต้องการสภาพแวดล้อมเชิงสนับสนุนที่เห็นอกเห็นใจ ไม่เป็นทางการผ่อนคลาย และเป็นมิตรต่อการเรียนรู้
.
4. เทคโนโลยี
•    ช่วงปฐมวัย : จัดสรรสื่อและเทคโนโลยีทั้งสื่อดั่งเดิมและสื่อดิจิทัล ช่วยส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
•    ช่วงวัยเรียน : นำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยจัดการเรียนการสอน เช่น แพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงเนื้อหา และนวัตกรรมวิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนและออกแบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองผู้เรียนแต่ละคน
•    ช่วงวัยทำงาน :ใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นสื่อและช่องทางในการเรียนรู้ และใช้สนับสนุนการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อวางแผนการเติบโตในอาชีพ และประยุกต์ใช้ทักษะและความรู้ในการทำงาน

แอ่ว “เจียงใหม่” ไหว้พระวัดอุโมงค์ วัดโบราณ สงบงามท่ามกลางเมือง

ในช่วงที่ผ่านมา จ.เชียงใหม่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากความเรียบง่ายของคนเมือง วิถีชีวิตที่น่ารักอบอุ่น ตลอดจนมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “วัดอุโมงค์ เชียงใหม่” วัดโบราณที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง แต่กลับเงียบสงบ ร่มเย็น และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสความสงบ กราบพระขอพร และถวายสังฆทาน
.
วัดอุโมงค์ ประวัติที่มาเป็นอย่างไร ? จากตำนานเล่าว่า เดิมทีบริเวณวัดอุโมงค์ หรือสวนพุทธธรรม เป็นพื้นที่วัดของกษัตริย์ในยุคสมัยของพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะพระองค์ได้ทำนุบำรุงพระศาสนา และสร้าง “วัดเวฬุกัฏฐาราม” (วัดไผ่ 11 กอ) ขึ้น
.
เมื่อยุคสมัยและการปกครองของผู้นำเปลี่ยนผ่าน ก็ยังมีการฟื้นฟูบริเวณวัดเรื่อยๆ จนเข้าสู่ยุคของพระเจ้ากือนาธรรมาธิราช พระองค์ได้ทำการบูรณะ ซ่อมแซมเจดีย์ และสร้างอุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศ เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถรจันทร์ และตั้งชื่อว่า “วัดอุโมงค์เถรจันทร์” หรือ “วัดอุโมงค์ เชียงใหม่”
.
จุดเด่นวัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ที่ไม่ควรพลาด : 
.
1. อุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศ
อุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศขนาดใหญ่เป็นหนึ่งจุดเด่นสำคัญ เนื่องจากด้านในมีการเจาะช่องผนังสำหรับวางเทียน ทำให้ภายในอุโมงค์นั้นค่อนข้างมืด เงียบ และสงบ ตามทางเดินจะมีรูปจิตรกรรมฝาผนังเกือบตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ภายในอุโมงค์จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ นักท่องเที่ยวสามารถเดินลอดใต้อุโมงค์เพื่อเข้ามากราบไหว้พระ ขอพร ตลอดจนชมความงดงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปต่างๆ ได้ เช่น ภาพจิตรกรรมนก ดอกโบตั๋น ดอกบัว เมฆ เป็นต้น
.
หากใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ในช่วงฤดูฝน หรือปลายฝนต้นหนาว จะพบว่าบริเวณด้านหน้า หรือรอบๆ ของอุโมงค์มีมอสส์สีเขียวขึ้นปกคลุม สร้างความสวยงาม สบายตา ในขณะเดียวกันก็ร่มรื่นและเงียบสงบด้วย
.
2. เจดีย์ 700 ปี วัดอุโมงค์ เชียงใหม่
เจดีย์วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับทางเข้าอุโมงค์ทางขึ้นลงเจดีย์มีบันไดนาคที่งดงามอยู่ด้านข้าง โดยจะเป็นสถาปัตยกรรมทรงระฆังกลม บริเวณทรงกรวยด้านบนของเจดีย์จะเป็นรูปกลีบดอกบัว บริเวณฐานส่วนล่างจะมีปูนปั้นลวดลายสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมของศิลปะพม่า ทั้งนี้เจดีย์วัดอุโมงค์ถือว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม
.
3. เศียรพระพุทธรูปฝีมือช่างพะเยา
อีกหนึ่งจุดเด่นวัดอุโมงค์ คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่บริเวณลานด้านข้างทางเข้าอุโมงค์จะมีการจัดตั้งเศียรพระพุทธรูปจำนวนมาก ซึ่งพระพุทธรูปส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวพะเยาที่มีฝีมือช่วง พ.ศ.1950-2100 เป็นหนึ่งในคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ
.
นอกจากนี้วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ยังมีจุดเด่นอีกหลายๆ แห่งที่น่าสนใจและควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือน เช่น เสาหินอโศกจำลองจากประเทศอินเดีย หลักศิลาจารึกบันทึกประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ เชียงใหม่ หอสมุดธรรมโฆษณ์ โรงภาพปริศนาธรรม ตลอดจนมีสำนักปฏิบัติธรรมวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม สำหรับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมท่ามกลางความเงียบสงบ
.
วัดอุโมงค์ เปิดกี่โมง วันไหนบ้าง?
วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทั้งในช่วงกลางวัน และสามารถเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระที่วัดอุโมงค์ช่วงกลางคืนได้ไม่เกินเวลา 2 ทุ่ม ทั้งนี้ควรงดใช้เสียงดัง และแต่งกายด้วยชุดสุภาพเหมาะสม
 

Charisma 13 กุญแจ สู่ความสามารถไร้ขีดจำกัด

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนๆนึงเป็นคนที่มีความสามารถไร้ขีดจำกัดและเรารู้สึกอยากจะมีความสามารถแบบนั้นได้บ้างหรืออยากมีคาริสม่าเปล่งประกายแบบนั้นได้บ้าง
.
Charisma (อ่านว่า คะ ริส หม่า) แปลว่า เสน่ห์
.
คำนี้เป็นคำนาม เป็นคำที่ใช้แทนการมีเสน่ห์แบบที่ค่อนข้างจะลึกซึ้งกว่าแบบอื่น เพราะจะเป็นเสน่ห์ในแง่ การที่สามารถดึงดูดใจ หรือชักจูงใจให้คนอื่น นำไปเป็นแบบอย่างได้ เช่นพวก ซุปเปอร์สตาร์ดังๆ นักพูดดังๆ นักการเมือง ผู้ซึ่งมีเสน่ห์ ดึงดูดใจทุกครั้งที่กล่าวสุนทรพจน์ หรือ แสดงออกต่อหน้าสาธารณชน ไม่ใช่เพราะเขาพูดเก่ง หรือไม่ใช่เพราะเขาหน้าตาหล่อ หรือหุ่นดี แต่เป็นเสน่ห์รวมๆ ที่อยู่ในบุคลิกภาพของเขา ทำให้เขาสามารถสื่อสาร และก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย คำๆ นี้มาจากรากศัพท์ภาษากรีก ว่า Kharisma ซึ่งแปลว่า ของประทานจากพระเจ้า ดังนั้นเสน่ห์แบบนี้บางคราวจึงเกิดขึ้นมาแบบเหนือธรรมชาติ หรือเกินกว่าที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไป ดังนั้น charisma นี้ จึงมีความหมายว่า พรสรรค์ ด้วย มาดูกันว่า 13 กุญแจสำคัญของการเป็นคนที่มีคาริสม่ามีอะไรบ้าง
.
1. ความเชื่อ (Belief) : ความเชื่อในสิ่งที่ทำ ความเชื่อมั่นในตัวเองในทางที่ดี และมักจะมองเห็นคุณค่าในตัวผู้อื่น หรือเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นเช่นกัน
.
2. มีความหลงใหล ( Passion ): หลงใหลในสิ่งที่ทำ บางครั้งก็หลงใหลในขั้นสุดโต่ง จนคนส่วนใหญ่มักจะมองว่า “บ้า” แต่บ้าแบบมีเป้าหมายมีทิศทางหนักแน่นชัดเจน

3. มีความริเริ่ม (Initiative) : ริเริ่ม และลงมือทำอย่างรวดเร็ว ในเมื่อคนแบบนี้มีความคิดใหม่ๆขึ้นมาแล้ว เค้าจะไม่รอให้ใครลงมือทำก่อนเค้าแน่นอน และไม่ลังเลที่จะทำสิ่งที่เค้าคิดให้เกิดขึ้น
.
4. จดจ่อ (Focus) : หากคำว่า โฟกัสหรือการจดจ่อของคุณ มีเพียงคำว่า “โฟกัส” คำเดียว สำหรับคนเหล่านี้จะมีคำว่า โฟกัส โฟกัส โฟกัส โฟกัส โฟกัส นับร้อยครั้งในหัวของเค้า เห็นได้ชัดว่า เค้าจะจดจ่อและโฟกัสกับสิ่งที่เค้าตั้งใจทำแค่ไหน
.
5. เตรียมตัวอย่างดี (Preparation) : คนเหล่านี้จะเตรียมพร้อมเสมอและมีการเตรียมตัวเตรียมการไว้ดีเสมอ
.
6. ซักซ้อม (Practice) : ซักซ้อมเสมอในสิ่งที่เค้ารักที่เค้าสนใจในสิ่งที่เค้าทำ ดังคำกล่าวของ บรูซลี (Bruce Lee) ว่า " ผมไม่กลัวคนที่ฝึกเตะเป็นหมื่นท่าแค่ครั้งเดียวหรอก แต่ผมกลัวคนที่ฝึกเตะท่าเดียวเป็นหมื่นครั้งต่างหาก"
.
7. มีความเพียร (Perseverance) : ความเพียรเป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นเห็นเพียงคนเดียวและอยู่กับมันในทุกๆวัน ทุกเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี แต่มักจะเป็นสิ่งที่คนภายนอกมองว่า คนเหล่านั้นโชคดีจัง ในเวลาที่คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ
.
8. ความกล้าหาญ ( Courage ) : ความกลัวเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง..แต่ความกล้าหาญคือ"การตัดสินใจ"ที่จะไม่ตอบสนองต่อความกลัว ทำให้กลายเป็นบุคลิกหลักๆ ที่เราจะเห็นได้จากคนที่มีคาริสม่าเลยก็ว่าได้
.
9. การเป็นคนที่รับคำสั่งสอนได้ (Teachability) : อีกในนึงคือมีความนอบน้อม รับฟังผู้อื่นติชมได้ แล้วยังรักการเรียนรู้จากคนรอบข้างเสมอ
.
10: จิตใจดีมีน้ำใจ (Kindness) : มีน้ำจิตน้ำใจที่ดี อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะบางคนก็เป็น Artist อาจจะเข้ากับคนอื่นได้ลำบากด้วยซ้ำ แต่คนเหล่านี้ลึกๆ แล้วจะความเมตตาและมีจิตใจที่ดีจนคนรอบข้างสัมผัสได้11. มีความรับผิดชอบสูง (Responsibility) : รับผิดชอบในวินัยของตนเองรวมถึงรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำผิด คุณจะไม่มีทางเห็นคนเหล่านี้พยายามโยนความผิดที่เกิดขึ้นให้กับคนอื่นแน่ๆหากเค้าเป็นคนทำเองเค้าจะ รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำด้วยความกล้าหาญ
.
12. รักตัวตนของตัวเอง (Self-Love) มีความรักในตัวเองและเห็นคุณค่าของตัวเอง คนเหล่านี้จะตกหลุมรักตัวเองในทุกๆวันและมีความสุขจนคนรอบข้างอยากรักเค้าตามไปด้วยเลย
.
13. มีความรู้คุณคน (Gratitude) : ซาบซึ้งในบุญคุณของคนที่ช่วยเหลือเขา และขอบคุณพร้อมทั้งตอบแทนช่วยเหลือกลับเท่าที่เขาจะทำได้ และไม่มีวันลืมคนที่มีพระคุณกับเขาทุกคน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top