Saturday, 18 May 2024
NEWSFEED

ปตท. เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เป็นไปตามแผนธุรกิจ ใช้งบกว่า 20,000 ล้านบาท ฟื้นฟูประเทศหลังโควิด

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศ OPEC และชาติพันธมิตร จนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2566 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ที่ 104,008 ล้านบาท ลดลง 36,904 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.2 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 140,912 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น

.

ซึ่งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับปริมาณการขายลดลงและต้นทุนค่าเนื้อก๊าซสูงขึ้น สำหรับกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.4 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 24,792 ล้านบาท

.

ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และประเทศให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 – 2565 ได้ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคประชาชนจากวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาทิ การสำรองน้ำมัน      4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ   การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเทอมการชำระเงินแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น

.

ทั้งนี้ ปตท. เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายใน ปี 2593 ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเปลี่ยน สู่ธุรกิจพลังงานสะอาด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการ  ปลูกป่าเพิ่ม 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของชุมชนในพื้นที่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี

.

“ปตท. มุ่งมั่นดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สนับสนุนการใช้พลังงานแห่งอนาคต สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ พร้อมศึกษาพลังงานไฮโดรเจน และพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพลิกฟื้นผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ นำพาประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายอรรถพล กล่าวเสริม

.

ปตท. ผนึก JERA นำร่องพัฒนาธุรกิจไฮโดรเจน และ แอมโมเนีย ในไทย มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions 2050

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการริเริ่มการขยายห่วงโซ่อุปทานและการใช้ประโยชน์จากไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย

.

โดยมี ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Mr. Toshiro Kudama (โทชิโระ คุดามะ) Senior Managing Executive Officer และ CEO JERA Asia บริษัท JERA Co., Inc. (JERA) ร่วมลงนาม พร้อมทั้งผู้บริหารของทั้งสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งศึกษาแนวทางการพัฒนาธุรกิจ และการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียในรูปแบบต่าง ๆ

.

เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในอนาคต ตอกย้ำว่า ปตท. พร้อมเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืน

สานพลัง ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. เปิดตัว สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon

บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กลุ่ม ปตท. เปิดตัวโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เฟ้นหาสุดยอดไอเดียนวัตกรรมมุ่งช่วยแก้ปัญหาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมจากความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมต่อยอดไอเดียไปสู่ธุรกิจเพื่อสังคม ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมแห่งความยั่งยืน


นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งให้สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาและตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาของสังคม จึงได้รวมพลังความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. จัดโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เพื่อเฟ้นหาและช่วยปั้นสุดยอดไอเดียนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสังคมได้จริงโดยใช้จุดแข็งของ กลุ่ม ปตท. ในการสร้างโซลูชัน 4 โจทย์หลัก ได้แก่
● Sustainable Cities: การพัฒนาเมืองยั่งยืน
● Good Health & Wellbeing: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
● Local Economic Development: การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น
● Environment: สิ่งแวดล้อม และสภาวะโลกร้อน


ระหว่างโครงการผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสร่วมเวิร์กชอปการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคมในเชิงธุรกิจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. และองค์กรพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ ร่วมกับไรส์ (RISE) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร มาเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดโครงการ ซึ่งหากได้รับคัดเลือกเป็น 4 ทีมสุดท้าย จะมีโอกาสได้รับเงินรางวัลและเงินทุนตั้งต้นในการร่วมกระบวนการทดสอบไอเดียธุรกิจ Proof of Concept (POC) กับบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อพัฒนาไอเดียให้สามารถออกสู่ตลาดและแก้ไขปัญหาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้จริง รวมมูลค่ากว่า 540,000 บาท

 

สำหรับโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เปิดรับไอเดียนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ นักศึกษา บุคคลทั่วไป เเละ Startup (ที่ยังไม่จดเป็นนิติบุคคล) ซึ่งผู้ที่สนใจรับฟังรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม สามารถเข้าร่วม Open House ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. โดยมีผู้บริหารจากบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมให้ข้อมูล พร้อมชวนรับฟังเสวนาในหัวข้อ Powering Life with Social Innovations จากผู้นำรุ่นใหม่ที่มีบทบาทโดดเด่นด้วยการพัฒนาตามหัวข้อ 4 โจทย์หลัก ได้แก่ ด้านการพัฒนาเมืองจาก Mayday ด้านสิ่งแวดล้อมจาก Refill Station ด้านสุขภาพจาก Younghappy และด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นจาก Roots Incubation Program 


โครงการฯ เปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ - 26 พฤษภาคม 2566 ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://forms.gle/yMTvnQV5n7ooH1BTA และผู้ที่สนใจเข้าร่วม Open House ในวันที่ 20 พฤษภาคม ลงทะเบียนได้ที่ https://rise-global.typeform.com/to/RNi5WvOx ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมเพิ่มเติมได้ผ่านทาง Facebook : PTT News และ Facebook: สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม

การประกวดบทความ

ขอแสดงความยินดี กับ นางสาวทอฟ้า ทองทา ชั้น ม. 5 ห้อง 933โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และทุนการศึกษา 3,๐๐๐ บาท จากการประกวดบทความในหัวข้อ
.
“การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยกับการแก้ไขปัญหาการเมืองและสังคมไทยในปัจจุบัน” จัดโดย แผนกสาราณียกร สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
.

ทิศทางน้ำมันโลก สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 1 – 5 พ.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 8 - 12 พ.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุด 5 พ.ค. 66 ลดลง 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 74.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและเปลี่ยนไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย จากความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่สภาวะถดถอย ทั้งในภาคงบประมาณ การเงิน และการธนาคาร อาทิ

.

วันที่ 4 พ.ค. 66 หุ้น PacWest Bancorp ลดลง 51% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังธนาคารเปิดเผยว่าอาจพิจารณาเพิ่มทุนหรือขายกิจการ, หุ้น Western Alliance Bancorp ลดลง 38% ขณะที่ธนาคารยืนยันสถานะทางการเงินว่ายังไม่ต้องขายกิจการ, หุ้น First Horizon ลดลง 33% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2551 หลัง Dominion Bank ของแคนาดายุติการเจรจาซื้อกิจการ 
ทางด้านนักวิเคราะห์ Reuters คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve: Fed) อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และนักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ก.ย. 66

.
ทั้งนี้วันที่ 3 พ.ค. 66 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 5.0-5.25% และจะมีการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 13-14 มิ.ย. 66 
คาดว่าราคา ICE Brent ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

.

โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden มีแผนหารือร่วมกับแกนนำรัฐสภา 4 ท่าน ในวันที่ 9 พ.ค. 66 ทั้งฝั่งวุฒิสภา ได้แก่ นาย Chuck Schumer (Democratic Senator - Majority Leader), นาย Mitch McConnell (Senate Republican leader) และฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นาย Kevin McCarthy (Speaker of the House - Republican), และนาย Hakeem Jeffries (House Minority Leader) ในประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณ และขยายเพดานหนี้

.

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

.
• 4 พ.ค. 66 ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ (Deposit Facility Rate) มาอยู่ที่ 3.25% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ (Marginal Lending Facility Rate) มาอยู่ที่ 4%

.
• National Bureau of Statistics (NBS) ของจีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing Purchasing Manager's Index: PMI) ในเดือน เม.ย. 66 จากเดือนก่อนลดลง 2.7 จุด อยู่ที่ 49.2 จุด ลดลงครั้งแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค. 65

.
• Kpler รายงานรัสเซียส่งออกน้ำมันดิบสู่เอเชียทางทะเลในเดือน เม.ย. 66 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 76,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 3.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

.

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

.
• Argus รายงาน OPEC และพันธมิตร (OPEC+) รวม 19 ประเทศ ผลิตน้ำมันดิบในเดือน เม.ย. 66 ลดลง 200,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อน มาอยู่ที่ 37.70 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ข้อตกลงของ OPEC+ อยู่ที่ 40.10 ล้านบาร์เรลต่อวัน

.
• Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2566 จากปีก่อนมาอยู่ที่ +1.6% (จากเดิมที่ +1.4% จากปีก่อน) โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระดับ 5-5.25% คือระดับสูงสุดในปีนี้ โดย Fed จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก นอกจากนี้ ยังคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 

.
• EIA รายงานสหรัฐฯ ส่งออกน้ำมันดิบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 เม.ย. 66 ลดลง 82,000 บาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 4.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ยึดมั่นในนโยบายภาครัฐ ปตท. ดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ของประเทศ มุ่งสร้างสมดุลให้ทุกภาคส่วน

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีการพาดพิงการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่จำหน่ายให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาที่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าเป็นสาเหตุให้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนี้
.
การจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นสัดส่วนเพียง 20% ใช้ในภาคอุตสาหกรรมขนส่งและครัวเรือนประมาณ 30% และใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า 50% ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ดำเนินการมากว่า 40 ปี ปริมาณสำรอง และปริมาณการผลิตลดลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ 
.
จำเป็นต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้านและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ต้นทุนราคาเนื้อก๊าซเดียวกัน สำหรับในส่วนที่ต้องจัดหาเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า หรือวัตถุดิบเพิ่มเติมในแต่ละผลิตภัณฑ์จะเป็นไปตามปัจจัยสถานการณ์ตลาดพลังงานโลก และตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
.
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นอุตสาหกรรมหลักในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย กลุ่ม ปตท. ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทนการนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว อุตสาหกรรมปิโตรเคมีก่อให้เกิดการจ้างงาน ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 10 – 25 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี 
.
นายวุฒิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลอดระยะเวลาของวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในตลาดโลก  ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติได้ร่วมแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับปริมาณความต้องการของประเทศทั้งในภาคประชาชน การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 20,000 ล้านบาท (การช่วยเหลือระหว่างปี 2563 - 2565)  เช่น การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเครดิตเทอมแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น โดย ปตท. ให้ความสำคัญในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนอย่างสมดุล”
.

รัฐบาลไต้หวันตั้งเป้า ขอเวลาไม่เกิน 10 ปี ผลักดันให้เป็นประเทศ 2 ภาษา

รัฐบาลไต้หวันตั้งเป้า ขอเวลาไม่เกิน 10 ปี ผลักดันให้เป็นประเทศ 2 ภาษา (Bilingual) ที่ใช้ทั้งภาษาจีน และ อังกฤษ เป็นภาษาสื่อสารหลักให้ได้ภายในปี 2030 ตั้งงบเริ่มต้นที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน พัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษของประชากรให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 รองจากภาษาจีน

.

การเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษกลายเป็นวาระระดับชาติของไต้หวัน แม้จะเป็นเรื่องยากที่ทำให้ชาวไต้หวันสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับ ฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือ อินเดีย ที่ภาษาอังกฤษถูกใช้เป็นภาษาราชการ และในแวดวงวิชาการทั้งด้านกฎหมาย และภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง แต่ก็เป็นเป้าหมายที่ไต้หวันต้องการที่จะไปให้ถึง เพื่อเพิ่มศักยภาพชาวไต้หวันสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เลือกมาทำธุรกิจในไต้หวันเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่ออุปสรรคด้านภาษาลดลง

.

แผนการยกระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของประชากรไต้หวัน เริ่มวางแผนกันมานานแล้วตั้งแต่ปี 2018 และประกาศเริ่มโครงการในปีนี้ 2023 ด้วยงบประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน โดยมีการปรับแผนการเรียนภาคบังคับทั้งหมด เพื่อรองรับการเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังในทุกระดับชั้น

.

อีกทั้งเริ่มประสานงานกับภาคธุรกิจในประเทศ ในการเพิ่มภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สื่อสารในองค์กร ทั้งการใช้เอกสาร สัญญา ข้อความประชาสัมพันธ์บนเว็บไซท์ ควบคู่ไปกับการใช้ภาษาจีน ทั้งนี้เพื่อเอื้อต่อการติดต่อกับบริษัทต่างชาติ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการแปลเอกสารจากอังกฤษ เป็นจีน

.

เนื่องจากในปัจจุบัน ไต้หวันมีการส่งออกอุปกรณ์ไฮ-เทค สู่ต่างประเทศรวมมูลค่ากว่า 8.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพราะชิพประมวลผล ที่ไต้หวันครองตลาดโลกสูงถึง 60% และยิ่งถ้าบุคลากรไต้หวัน สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว โอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศยิ่งไปได้ไกลกว่าเดิม

.

เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการเป็นประเทศ 2 ภาษาภายในปี 2030 ต้องเริ่มตั้งแต่ที่โรงเรียน ด้วยการผลักดันให้เกิดระบบโรงเรียน 2 ภาษาทั่วกรุงไทเป ให้ได้ถึง 210 โรงเรียนภายในปี 2026 และ ทุกโรงเรียนในเขตนครซินเป่ย์ต้องมีหลักสูตร 2 ระบบ ทั้งจีน อังกฤษภายในปี 2030 ส่วนเมืองอื่นๆ ต้องตั้งเป้าในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ให้มีหลักสูตรภาคบังคับ 2 ภาษาให้สำเร็จในอีก 7 ปีข้างหน้า

.

แต่รัฐบาลไต้หวันยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ รวมถึงการใช้ภาษาอังกฤษในเอกสารราชการสำคัญ ทั้งในศาล หรือในสภาด้วยหรือไม่ แต่มีการเรียกร้องให้ยกระดับการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในหน่วยงานภาครัฐมากยิ่งขึ้นต่อจากนี้ไป

.

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า นโยบายด้านภาษาอังกฤษจะช่วยกระตุ้นให้ชาวไต้หวันพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนมากขึ้น

.

เมื่อเปรียบเทียบกันนโยบายการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของไทยแล้ว กระทรวงศึกษาธิการของไทย ได้ตั้งเป้าให้พัฒนาหลักสูตรให้ เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานในชีวิตประจำวันให้ได้ภายในปี 2026

.

ซึ่งความพยายามในการพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ของทั้งไต้หวันและไทย จะสามารถเปิดประตูสู่การเรียนรู้ และการหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการศึกษาโดยรวม

.

เพียงแต่อุปสรรคสำคัญของนโยบายกระตุ้นการเรียนภาษาอังกฤษของไต้หวันคือ ชาวไต้หวันไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากนัก อีกทั้งหลักสูตรการเรียนมักมุ่งเน้นเพื่อการอ่านเพื่อสอบเป็นสำคัญ มากกว่าความสามารถในการพูด หรือเขียน จึงทำให้นักเรียนไต้หวันไม่มั่นใจพอที่จะพูดภาษาอังกฤษในที่สาธารณะ

.

ซึ่งไม่ต่างจากนักเรียนไทย ที่ยังขาดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร จึงเป็นโจทย์สำคัญของนักการศึกษาในการปรับปรุง แก้ไขหลักสูตร เพื่อยกระดับทักษะผู้เรียนให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่ 2 ได้อย่างแท้จริง

.

อ้างอิง

South China Morning Post

.

#THESTUDYTIMES

#TeenAgeNewsAgency

#สำนักข่าววัยเรียน

#GuidetoLearning

#NewsFeed

#KitNew

#คิดนิว

#ความคิดใหม่เริ่มได้ที่นี่

‘แจ็ค หม่า’ ขอกลับไปเป็นครูอีกครั้ง ในฐานะศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ให้กับ HKU

แม้จะเคยทำงานมาหลายอาชีพ ทั้งงานบริการ รับจ้างทั่วไป เป็นไกด์ท้องถิ่น กว่าจะก่อตั้งธุรกิจ E-Commerce ระดับหมื่นล้านได้สำเร็จ เป็นมหาเศรษฐีเบอร์ต้น ๆ ของโลก แต่มีอยู่อาชีพหนึ่งที่แจ็ค หม่า รักมาก และพูดถึงเสมอ นั่นก็คือการเป็น "ครู"

.

แต่หลังจากห่างหายจากบรรยากาศหน้าชั้น กระดานดำมานาน วันนี้ แจ็ค หม่า ตอบรับงานสอนเต็มตัวอีกครั้ง ในฐานะศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ให้กับ University of Hong Kong (HKU) หนึ่งในสุดยอดมหาวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจติดอันดับโลก เรียบร้อยแล้ว

.

ก่อนหน้านี้ทาง HKU เคยมอบเกียรติบัตรสังคมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตให้กับแจ็ค หม่า มาแล้ว เพื่อเป็นเกียรติกับเขาที่สร้างผลงานอันโดดเด่นในวงการธุรกิจ E-commerce ที่ช่วยขับเคลื่อนสังคม และเศรษฐกิจในระดับมหภาค แม้ว่าตัวแจ็ค หม่า จะไม่เคยเรียนสาขาเทคโนโลยี หรือ ไอที มาก่อนก็ตาม

.

และนอกจาก HKU แล้ว แจ็ค หม่า ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณทิตจากอีกหลายสถาบันทั่วโลก อาทิ Tel Aviv University ของอิสราเอล, National Taiwan Normal University หรือ De La Salle University ที่ฟิลิปปินส์ ฯลฯ

.

หากรวมทั้งคุณวุฒิ และ ประสบการณ์ที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับ แจ็ค หม่า ที่จะหางานสอน หรือจัดอบรม เปิดเวทีสัมมนาด้านธุรกิจร่วมกับสถาบันการศึกษาที่ไหนสักแห่ง ขอเพียงแค่เขาเอ่ยปาก

.

แต่ด้วยนโยบายการกวาดล้างธุรกิจ Fintech ของรัฐบาลปักกิ่ง ที่กระทบกับแผนการนำ Ant Group เข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้แจ็ค หม่า ต้องลดบทบาทในฐานะผู้บริหาร Alibaba ลงตั้งแต่ปี 2020 และ งดออกสื่อนานเกือบ 3 ปี และเพิ่งมีข่าวว่าได้เดินทางกลับสู่ประเทศจีนแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมทีผ่านมา หลังจากที่เขาใช้เวลาเก็บตัวเงียบ ๆ ในต่างประเทศนานนับปี

.

และทันทีที่แจ็ค หม่า ปรากฏตัวออกสื่อ ทางมหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง ได้ส่งจดหมายเสนอตำแหน่งทางวิชาการ เชิญแจ็ค หม่า มาเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ทันที ซึ่ง แจ็ค หม่า ได้ตอบตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

.

โดยเบื้องต้นจะรับงานในตำแหน่ง 3 ปี เริ่มต้้งแต่ปีการศึกษาภาคฤดูใบไม้ผลิ 1 เมษายนปีนี้ จนถึงเดือนมีนาคม ปี 2026 ซึ่งเขาขอเน้นงานศึกษาวิจัยด้านการเงิน การเกษตร และ นวัตกรรมองค์กร แต่ยังไม่มีแผนว่าจะมีการจัดสัมมนา หรือกล่าวสุนทรพจน์ออกงานสาธารณะหรือไม่

.

โฆษกของสถาบัน HKU กล่าวต้อนรับการมาของศาสตราจารย์แจ็ค หม่า และเชื่อมั่นในประสบการณ์ ความรู้ลึก รู้จริง ในการพัฒนาธุรกิจด้านนวัตกรรม ที่โดดเด่น หาตัวจับยากของเขา อีกทั้ง บนหน้าเว็บไซท์ของ ภาควิชาบริหารธุรกิจของสถาบัน ได้ขึ้นรูปโปรไฟล์ของ แจ็ค หม่า ไว้แล้วในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและกลยุทธ์

.

จากประวัติการทำงานของแจ็ค หม่า ก็เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ และ การค้าระหว่างประเทศมาก่อนที่ Hangzhou Dianzi University และยังเคยร่วมกับผู้ประกอบการแถวหน้าของจีน สร้างสถาบันสอนทำธุรกิจของตัวเองที่ชื่อว่า Zhejiang Hupan Entrepreneurship Research Center มาแล้ว โดยแจ็ค หม่า เคยตั้งใจผลักดันเพื่อวิทยฐานะของสถาบันแห่งนี้ให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่ยังทำไม่สำเร็จ ก็โดนคดี Ant Group เสียก่อน

.

จึงเห็นได้ว่า แจ็ค หม่า ยังมีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม และเป็นช่วงเวลาของการคืนสู่สามัญของเขาในวัย 58 ที่ตั้งใจอุทิศตนเพื่องานสังคม และสนใจทำงานพัฒนาด้านการเกษตรอีกด้วย

.

#THESTUDYTIMES

#TeenAgeNewsAgency

#สำนักข่าววัยเรียน

#GuidetoLearning

#NewsFeed

#KitNew

#คิดนิว

#ความคิดใหม่เริ่มได้ที่นี่

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยศิลปากร ขอเชิญชวนเยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยศิลปากร

ขอเชิญชวนเยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป

ร่วมส่งผลงานประกวดศิลปกรรม ปตท. ครั้งที่ 38 ประจำปี 2566

.

หัวข้อ “จุดประกายความหวัง จุดพลังชีวิต”

ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด จากวิกฤตโควิด 19 ในช่วงชีวิต

ที่ผ่านมาพร้อมความหวังในการขับเคลื่อนไปสู่อนาคตซึ่งเปรียบเสมือนเป็นจดหมายเหตุของประเทศในรูปแบบของงานศิลปะ ผ่านผลงานศิลปะทุกประเภท ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์

.

เริ่มส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป

*ผลงานจะต้องส่งถึงจุดรับผลงานไม่เกินวันที่ 21 มิถุนายน 2566 เท่านั้น

.

ดูรายละเอียดการสมัครเพิ่มเติมที่ https://www.pttplc.com/.../Highlights/Content-40709.aspx

ปตท. เชิญชวนโหลดแอป

ยิ่งเก็บ ยิ่งได้ !!

ปตท. เชิญชวนโหลดแอป

ทุกต้นที่คุณเก็บ จะถูกปลูกจริง เพื่อเพิ่มการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

 

โลกได้ต้นไม้ คุณได้รางวัล ควันได้ดูดซับ!

มีแต่ได้แบบนี้โหลดเลย “คุณช่วยเก็บ เราช่วยปลูก”

 

เพียงแค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ

-โหลด

-สแกน

-เก็บ

 

ทุกต้นที่คุณเก็บ จะถูกปลูกจริง เพื่อเพิ่มการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

ให้กับโลกบนพื้นที่ปลูกป่า 1 ล้านไร่ของ ปตท.

 

โหลดเลย : https://bit.ly/3JJpAW7

ได้ทั้ง App store และ Play store


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top