Thursday, 16 May 2024
คิดนิว

ทำไม ? สถาบันการศึกษาต้องสนใจการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก 

ทำไม ? สถาบันการศึกษาต้องสนใจการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก 
คำตอบเรื่องการจัดอันดับจาก  Times Higher Education World University Rankings ที่ต้องจัดกันในทุก ๆ ปี มันมีเหตุผลอยู่ 7 ข้อดังนี้ 


1. เพื่อให้เข้าใจการบริหารจัดการองค์กรและการวางกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ  เพราะการจัดอันดับจะทำให้ทราบว่าสถาบันนั้น ๆ มีการบริหารองค์กรแบบไหน มีความร่วมมือองค์กรไหนบ้าง ?  กว่า 68 เปอร์เซ็นต์จะใช้การจัดอันดับเป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ การบริหารจัดการองค์กร การจัดการด้านวิชาการ ซึ่งการจัดอันดับสามารถใช้ตั้งเป็นเป้าหมายเพื่อยกระดับสถาบันนั้น ๆ ได้  


2. การสร้างตราสินค้าและการสื่อสารภาพลักษณ์ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของทั้งนักศึกษา ครอบครัว นักวิชาการและบรรดาสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ต้องการสื่อสารภาพลักษณ์ของตนเอง ได้เข้ามาร่วมจัดอันดับเพราะมีคนเป็นล้าน ๆ เข้ามาเห็นและกดติดตามมหาวิทยาลัยที่ตนเองสนใจ ถือว่าเป็นช่องทางการตลาดที่ใช้สื่อสารได้อย่างตรงเป้าหมาย


3. แสวงหาความร่วมมือและการสร้างพันธมิตร การจัดอันดับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการแสวงหาความร่วมมือโดยเฉพาะจากอันดับที่ต่ำกว่าไปยังอันดับที่สูงกว่า ที่สำคัญสถาบันที่สูงกว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์กลับคืนไปสู่สถาบันของตนเองได้ ทั้งเรื่องของการสร้างหลักสูตรใหม่ ๆ การสร้างงานวิจัยใหม่  ๆ ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของการระดมทุนที่จะนำมาใช้สำหรับงานวิชาการได้ง่ายขึ้น 


4. โอกาสในการรับสมัครนักศึกษาหรือนักวิชาการให้เข้ามาศึกษาในสถาบัน สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยอันดับสูง ๆ ย่อมดึงดูดนักศึกษาจากนานาชาติให้เข้าไปศึกษาได้ และการได้จบออกมาจากสถาบันอันดับสูง  ๆ ย่อมสร้างโอกาสในการหางานที่ดี ๆ เป็นที่ต้องการของตลาด เช่นเดียวกับนักวิชาการที่หากได้เข้าไปทำงานวิจัยในสถาบันอันดับสูง ๆ เมื่อจบงานวิจัยออกมาก็ย่อมเป็นที่ต้องการขององค์กรต่าง ๆ เช่นกัน 


5. การเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ สำหรับการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ช่วยทำให้เกิดตัวชี้วัดเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสถาบันของตนเอง และสามารถนำข้อมูลมาปรับใช้และวิเคราะห์ข้อดี - ข้อเสียของตนเอง ทั้งยังสามารถนำไปวิเคราะห์ภาพรวมการศึกษาทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลกได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


6. การรวบรวมข้อมูล เมื่อมีข้อมูลที่ได้นำมาเปรียบเทียบแล้วก็ย่อมง่ายต่อการปรับปรุงสถาบันในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรองรับโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไปได้ และเพื่อสร้างคุณภาพทางการศึกษาที่ดีขึ้น 


7. ชื่อเสียงคือเรื่องสำคัญ มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับในลำดับที่สูงย่อมมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับเรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นจากอันดับก่อนหน้า ย่อมสามารถสร้างการยอมรับและนำอันดับไปใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้สถาบันของตนให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างขึ้น 
ซึ่งจากทั้ง  7 คำตอบ ก็น่าจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราจะเลือกศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ เราจะใช้ปัจจัยอะไรในการเลือก ชื่อเสียง อันดับมหาวิทยาลัย หรือ สถาบันที่เราอยากเรียนเองจริง ๆ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ตัวของท่านเองแล้วนะครับ

 
ที่มา https://www.timeshighereducation.com/ 
 

รัฐให้ทุนวิจัย สร้างนวัตกรรม ดันธุรกิจ Deep Tech Startup

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งเดินหน้าให้การสนับสนุนธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech Startup) โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน บูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์ฯขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มุ่งเน้นยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้ให้ทุนวิจัยมหาวิทยาลัยและองค์กร  10 แห่ง 11 แพลตฟอร์ม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ได้จัดกิจกรรมนำเสนอผลงานภายใต้โครงการ “แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก” (NSTDA Deep Tech Acceleration Platform) โดยเปิดรับสมัครผลงานวิจัยเชิงลึก ที่มีการประเมินความพร้อมของงานวิจัยและเทคโนโลยี (Technology Readiness Level: TRL) ไม่น้อยกว่าระดับ 4 และมีศักยภาพทางด้านการตลาดใน 3 กลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ Food Technology, Healthcare Technology และ Internet of Things โดยในปีนี้มีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการจำนวน 22 ทีม ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ของ สวทช. ซึ่งเป็น Ecosystem ที่เหมาะสมและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ทั้งนี้ โครงการแพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก ถือเป็นการติดอาวุธให้กับผู้ประกอบการ นักวิจัยในมหาวิทยาลัยและใน สวทช. ให้มีความสามารถในทางธุรกิจและการตลาดมากขึ้น เห็นช่องทางการนำผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ไปสู่เชิงพาณิชย์ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างขีดความสามารถให้ประเทศไทย และเพิ่มขีดความสามาถในการแข่งขันได้เร็วและแข็งแกร่งในระดับนานาชาติ

“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการขับเคลื่อน ผ่านการสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ โดยการสนับสนุนเครื่องมือ บุคลากร และบริการต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับ สร้างความเข้มแข็งให้กับ SME และ Startup และสร้างความพร้อมที่จะนำผลงานวิจัย Deep technology ออกไปใช้ประโยชน์จริงและสร้างผลในเชิงเศรษฐกิจและสังคม” น.ส.รัชดา กล่าว

ร้าน alt.Eatery ช้อป ชิม ชิว รักษ์โลกและสุขภาพดี ด้วย Plant-based

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์รวมถึงเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเพราะกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน โดยมีผลสำรวจของ Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า "เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based" 

สำรวจเมื่อ ค.ศ. 2021 เปรียบเทียบกับ ค.ศ. 2022 ล่าสุด ผลปรากฏว่ามีเหตุผลในสามอันดับแรกไม่ต่างกัน ได้แก่ ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น ตามด้วย ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย ส่วนประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทย โดยบริษัท Euromonitor and Allies ประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ธุรกิจอาหาร Plant-based จึงกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ในการรักษ์โลกใบนี้เท่านั้นแต่ยังตอบโจทย์เรื่องเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอีกด้วย

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร พูดคุยถึงธุรกิจ “Life Science” อาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า “ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ mini mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ appetizer, main, ของหวาน และโซน mini mart มีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย อธิบายต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยรักษ์โลกอีกด้วย เราไม่ได้ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว เราให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ด้วย เพราะมองว่าทุกจุดคือความยั่งยืน เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย ทุกจุดเราสนใจความยั่งยืนมาก”

ส่วนคำถามที่ว่า Plant-based มีความแตกต่างกับอาหารในปัจจุบันอย่างไร คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลยก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น”

ส่วนจุดเด่นของร้าน alt.Eatery คืออะไร คุณพลอยกล่าวว่า “คือเรื่องราคา เพราะราคาเป็นหนึ่งใน Pain Point ที่สำคัญมาก สินค้า Plant-based โดยทั่วไปมีราคาสูง เราอยากให้มาลอง เลยทำราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาท ส่วนเรื่องของรสชาติ เราได้เชฟชั้นนำ อย่างเชฟใบเตย เชฟชื่อดังจากรายการ Top Chef Thailand ขนมหวาน มาทำขนมหวานและเชฟท่านอื่นๆ มาปรุงเมนูอาหารสูตรเด็ด เพราะเราอยากลองว่าถ้าปรุงโดยฝีมือเชฟ คนทานจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเราได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันร้าน alt.Eatery ไม่เคยโฆษณาเลยว่าเป็นวีแกน หรือเป็น Plant-based ลูกค้าที่เดินเข้ามาที่ร้านเห็นตู้โดนัทแล้วอยากลองทาน เห็นผัดไทย เบอร์เกอร์แล้วชอบ มาลองดูดีกว่า ส่วนใหญ่ก็จะประหลาดใจว่าเป็น Plant-based เหรอแต่รสชาติอร่อยมาก มีลักษณะแบบนี้เยอะมาก เราดีใจที่คนเริ่มเปิดใจและรับรู้มากขึ้นว่าไม่ใช่อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ แต่เป็นอาหาร Plant-based ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดของร้าน alt.Eatery ถ้าเป็นของหวาน ก็คือ โดนัท ส่วนของคาวก็คือ ผัดไทย ไก่ป๊อป และเกี๊ยวซ่า”

ท้ายสุดนี้คุณพลอยเชิญชวน ให้มาลองทานอาหารหรือช้อปสินค้าจากผู้ประกอบการ Plant-based ที่ร้าน alt.Eatery ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 51 “เรื่องเมนูอาหารในอนาคตจะมีเมนูใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแน่นอน เช่น Plant-based เนื้อปู สำหรับร้านเราเปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน มีหลายคนถามว่าที่ตั้งใจกลางเมืองขนาดนี้เอาที่ไปทำที่จอดรถทำไม เพราะเราอยากบริการทุกคนให้สะดวกสบาย เดินทางได้ทุกรูปแบบทั้งรถสาธารณะ และรถส่วนตัว เพื่อให้มาที่ร้าน alt.Eatery ได้ง่ายขึ้น”


ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

เพจ:https://web.facebook.com/alt.Eatery/?_rdc=1&_rdr

สื่อสิงคโปร์ยังยอมรับ อินเตอร์เน็ตไทยคุณภาพสูง-ศก.ดิจิทัล โตไว

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 Technode Global สื่อเทคโนโลยี IT ของสิงคโปร์ รายงานว่า บริษัท HGC Global Communications Limited (HGC) บริษัท AMS-IX (Amsterdam Internet Exchange) และบริษัท International Gateway Company Limited (IGC) ร่วมกันก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Internet Exchange) ในประเทศไทย
.
บริษัท HCG จากเกาะฮ่องกง บริษัท AMS-IX จากประเทศเนเธอร์แลนด์ และ IGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) เป็นเครือข่ายธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่ริเริ่มธุรกิจเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตของไทย โดยสื่อ IT สิงคโปร์ระบุว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีคุณภาพอีกแห่งหนึ่งของเอเชีย อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตที่สำคัญเทียบเท่าสิงคโปร์และฮ่องกง
.
Technode Global ยังระบุอีกด้วยว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทย ที่พร้อมรองรับการขยายและพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC จึงทำให้กรุงเทพมหานคร กลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเป็นเกตเวย์เชื่อมต่อไปยังกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS - The Greater Mekong Subregion) ซึ่งจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเกือบ 250 ล้านคน จะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในราคาที่ประหยัด และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกด้วย
.
ทั้งนี้ ข่าวความร่วมมือระหว่างบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC ในการก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงานข่าวเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า บริษัทกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) และบริษัทอเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS - Amazon Web Services) ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนก่อตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย อันแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

แหล่งข่าว
- https://technode.global/.../hgc-ams-ix-and-igc-launch-a.../
- https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9650000103347
- เพจ Thailand Vision

แอมะซอนทุ่ม 1.9 แสนล้าน ดันไทยสู่ผู้นำดิจิทัลเอเชีย

AWS ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในไทย มูลค่ามากกว่า 5 พันล้าน ดอลลาร์ หรือ 1.9 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี ด้วยการเปิดตัว Region แห่งใหม่ ที่มีชื่อว่า AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) 

แอมะซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ ด้วยการเปิดตัว Region ในประเทศไทย ที่จะมีชื่อว่า AWS Asia Pacific (Bangkok)

โดย Regionแห่งใหม่นี้จะประกอบด้วย Availability Zone สามแห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก และ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย

AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทยจะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้

นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี

นายปราสาท กัลยาณรามัน รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS เผยว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศและการนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่รวดเร็ว

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพทั้งหมดของคลาวด์เพื่อเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานและนำเสนอบริการต่างๆ

AWS Asia Pacific (Bangkok) region จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากบริการที่หลากหลายและเชี่ยวชาญของ AWSเช่น แมชชีนเลิร์นนิ่ง การวิเคราะห์ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ด้วยเครื่องมือใหม่เหล่านี้ AWS ยังช่วยให้ลูกค้าภาครัฐสามารถมีส่วนร่วมกับพลเมืองได้ดียิ่งขึ้น องค์กรต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเติบโตในระยะต่อไป รวมถึงสร้างธุรกิจและแข่งขันในระดับโลก

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า แผนของ AWS ในการสร้างศูนย์ข้อมูลหรือดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทยถือเป็นก้าวสําคัญที่จะนำบริการการประมวลผลบนระบบคลาวด์ขั้นสูงมาสู่องค์กรจำนวนมากขึ้น และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีมูลค่า

“รัฐบาลไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ระดับโลกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมาสู่ประเทศไทย การลงทุนของ AWS จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงอีกด้วย”

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวว่า AWS Region ในประเทศไทยจะช่วยภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐในการให้บริการดิจิทัลที่ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

สำหรับดีอีเอสได้ทํางานร่วมกันเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาครัฐ โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมให้ทันสมัยเพื่อปรับปรุงการดําเนินงาน การลงทุนของ AWS จะทําให้ประเทศก้าวเข้าใกล้อนาคตดิจิทัลมากขึ้นอีกขั้น

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทย กล่าวว่า AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) รีเจี้ยนจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศ ไปพร้อม ๆ กับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

“บริการคลาวด์เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สําคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัล เรายินดีกับแผนของ AWS ในการสร้าง region ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยพัฒนาจุดยืนของเราในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในเอเชีย และเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนําสําหรับการลงทุน"

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

ไทย ร่วมมือ เกาหลีใต้ เตรียมสร้างสถานีปล่อยยานอวกาศ (Spaceport)

4 พ.ย.2565- นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารจากกระทรวง อว.และ ดร.วิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เข้าเยี่ยมคารวะและหารือกับ นายลีจองโฮ (Mr. Lee Jong Ho) รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยเมื่อเริ่มการเจรจา โดยนายเอนก ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่อิแทวอน กรุงโซล และขอแสดงความไว้อาลัยต่อการสูญเสียแก่สาธารณรัฐเกาหลี มายังนายลีจองโฮมา ณ โอกาสนี้

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า หลังการหารือ นายเอนก เปิดเผยว่า ตนและนายลีจองโฮ ได้ตกลงร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า ใน 5 ประเด็นสำคัญ คือ

1. งานทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ โดยจะเน้นความร่วมมือทางด้านการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการสร้างเศรษฐกิจและระบบนิเทศทางด้านอวกาศ ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ 

2. การเจรจาหารือเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีใต้ถึงเรื่องการสร้างสถานีปล่อยยานอวกาศ (Spaceport) โดยประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการสร้างและมีความร่วมมือร่วมกันต่อไป 

3. งานทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเกี่ยวกับทางด้านการแพทย์ ซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านการบริการการแพทย์เป็นเลิศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเกาหลีใต้มีความโดดเด่นทางด้านแพลตฟอร์มของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยประเทศไทยและเกาหลีใต้ สามารถที่จะมีความร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีในอนาคต 

4. งานทางด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เน้นการสร้างองค์ความรู้ขั้นแนวหน้า ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน เพื่อร่วมมือกันสร้างและใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

5. งานทางด้านการจัดการกับปัญหาภาวะเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยเน้นการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้า เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหา และในอนาคตไทยและเกาหลีใต้ ยังมีแผนในการสร้างความร่วมมือกันต่อไป

“ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเกาหลีใต้ โดย รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศตอบรับถึงความพร้อมของสาธารณรัฐเกาหลีที่จะร่วมมือในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” รมว.อว.กล่าว

ที่มา: https://www.thaipost.net/education-news/256317/
 

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery ทั้งโดนัท ผัดไทย ไก่ป๊อป เกี๊ยวซ่า ที่คุณต้องลอง แวะมาชิมที่ร้านได้ หรือจะมาเลือกซื้อสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิดก็ได้เช่นกัน

ร้านตั้งอยู่  ริมถนนสุขุมวิท 51 เปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน เดินทางได้ทั้งรถสาธารณะ รถส่วนตัว ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

เอาใจสายเรียนฟรี จุฬาฯเปิดคอร์สเรียนออนไลน์แพทย์กว่า 100 คอร์ส

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้จัดทำแพลตฟอร์ม “MDCU MedUMore” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางการแพทย์ โดยมีวัตถุประสงค์สร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบการศึกษา เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนทั่วไปก็สามารถลงทะเบียนเข้าเรียนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งบนแพลตฟอร์มนี้จะมีทั้งคอร์สที่เรียนฟรีและคอร์สที่มีค่าใช้จ่าย รายละเอียดดังนี้ 
 
จุดเด่นของแพลตฟอร์ม
-สามารถเลือกระดับและหัวข้อที่สนใจได้ 
-เรียนออนไลน์ ได้ทุกที่ทุกเวลา ประกอบด้วยรูปแบบคอร์สออนไลน์ (บางคอร์สสำหรับแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นิสิต และนักศึกษาแพทย์ เมื่อเรียนจบคอร์สนั้น ๆ จะมีใบประกาศนียบัตรบางคอร์ส), Infographic, การ์ตูนสั้น รวมถึงเนื้อหาจากการวิจัยและการจัดประชุมวิชาการที่สำคัญอีกด้วย
 
ไฮไลต์
-คอร์สมาแรง : ประจำสัปดาห์/เดือน และเทรนด์ที่น่าจับตามองในวงการแพทย์ จะมีคอร์สใหม่ ๆ ประจำสัปดาห์ทุกวันศุกร์
-หมอขอเล่า : รู้เท่าทันกระแส อัพเดตทุกสถานการณ์สำคัญที่ทุกคนต้องรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมาอัพเดตสถานการณ์ปัจจุบัน แชร์ความรู้และประสบการณ์ตรงให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เช่น วัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กเล็ก, RSV ติดต่อในฤดูฝน, เชื้อแบคทีเรียกินคน…จากน้ำทะเล&น้ำกร่อย?, เคลียร์ให้ชัด ไข้หวัดมะเขือเทศ, วัคซีนป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่มีอยู่จริง ฯลฯ 
-Virtual Reality : นวัตกรรมการเรียนรู้แห่งอนาคต ทำให้ทุกคนสามารถเรียนแพทย์ได้แบบ 360 องศา เสมือนจริง
 
วิธีลงทะเบียน
1.เข้าสู่เว็บไซต์ https://www.medumore.org/ แล้วเลือก “Login/Register” ที่มุมขวาบนกรณีใช้งานครั้งแรก ให้เลือกเมนู “สมัครสมาชิก” และกรอกข้อมูล (อย่าลืมศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัว ข้อกำหนดเงื่อนไขแพทย์ต่าง ๆ อย่างละเอียดก่อนกดยอมรับ)
2.เข้าสู่ระบบ (Login)
3.เลือกคอร์สเรียนที่สนใจ
4.คลิก “เริ่มเรียน” เพื่อลงทะเบียนคอร์สนั้น ๆ
5.เข้าชมวิดีโอเพื่อเริ่มเรียน
กรณีผู้สมัครเป็นแพทย์, นิสิต-นักศึกษา คณะแพทย์ จุฬาฯ หรือบุคลากรโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ใช้อีเมล์ student.chula.ac.th (เฉพาะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ) @chulahospital.org @chula.md @chula.ac.th เพื่อรับส่วนลดพิเศษและคอร์สฟรี
 
คอร์สฟรีกว่า 100 คอร์ส
สำหรับคนทั่วไปมีคอร์สให้เรียนฟรีมากกว่า 100 คอร์ส อยากอัพสกิลความรู้สายแพทย์เรื่องไหนสามารถเลือกเรียนได้ตามใจชอบ เช่น
-รู้จักสิวก่อนใช้ยา
-ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ
-การมีบุตรยาก
-จอกระจกตาลอก
-มะเร็งสมองในเด็ก
-เข้าใจวัยทอง
-การทำกายภาพฟื้นฟู
-การปวดศีรษะไมเกรน
-กินอย่างไรให้ปลอดโรค
 
คอร์สเจาะลึกสำหรับสายแพทย์
-หากกำลังเรียนหรือทำงานในแวดวงการแพทย์ MDCU MedUMore รวมความรู้เฉพาะทางไว้แบบแน่น ๆ คอร์สเรียนเนื้อหาระดับ Advanced อัพเกรดความรู้เฉพาะทาง รวมถึงมีประชุมวิชาการให้เข้าถึงได้กว่า 100 เรื่อง
-เจาะลึกความรู้หัตถการทางการแพทย์ (การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อตรวจวินิจฉัยความปกติและความผิดปกติ รวมถึงวิธีดูแลรักษาผู้ป่วย)
 
คอร์สที่มีค่าใช้จ่าย สมัคร 1,200 บาท/ปี
1.แพ็กเกจบุฟเฟต์รายปี (Yearly Member) 
-สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ & นิสิต-นักศึกษาแพทย์ จ่ายครั้งเดียว 1,200 บาท/ปี (เฉลี่ยเพียงเดือนละ 100 บาท)
-รับชมเนื้อหาจากการประชุมวิชาการชั้นนำ MDCU Congress 2021/2022 รวมกว่า 100 คอร์ส และเข้าเรียนคอร์สที่ราคาต่ำกว่า 1,200 บาทได้ฟรี (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
2.ซื้อรายคอร์ส (Single Course) สำหรับบุคคลทั่วไปหรือผู้ที่สนใจเรียนรายคอร์ส (ซื้อครั้งเดียว เรียนได้ตลอดชีพไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
 
ซื้อคอร์สเป็นของขวัญได้
-เข้าไปที่หน้าคอร์สที่ต้องการ
-เลือก “ซื้อเป็นของขวัญ”
-กรอกอีเมล์ผู้รับ พร้อมข้อความที่ต้องการส่ง
-จากนั้นกด “ดำเนินการชำระเงิน”
สามารถดูรายชื่อคอร์สทั้งหมดได้ที่ https://www.medumore.org/category/knowledge

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ

สวยแถมเก่ง!!! น้องซาร่า ศิษย์เก่าคณะพยาบาล ม.ขอนแก่น คว้ามงฯ นางนพมาศ งานสีฐาน เคเคยู เฟสติวัล 2565

"น้องซาร่า" น.ส.สุภัสสรา สุปัญญา ศิษย์เก่าคณะพยาบาล มข.คว้ามงฯ นางนพมาศ งานสีฐาน เคเคยู เฟสติวัล ปี 65 ไปครอง ขณะที่ Miss Popular Vote กับรางวัลชุดรักษ์น้ำ หมายเลข 6 น.ส.กนกขวัญ ชุมแวงวาปี
เมื่อคืนวันที่ 8 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดงานลอยกระทง หรืองานสีฐานเฟสติวัล “บุญสมมาบูชานาค” ประจำปี

ซึ่งเป็นการจัดงานเต็มรูปแบบครั้งแรกหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพื่อช่วยทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย และช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติในอนาคต ที่บริเวณริมบึงสีฐาน สถานที่จัดงานลอยกระทงและงานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค ประจำปี 2565 และมีการจัดการประกวดนางนพมาศ (Miss Aqua) งานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค (Sithan KKU Festival 2022) ในคืนที่ผ่านมา ผลการประกวดนางนพมาศ งานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค (Sithan KKU Festival 2022)


สำหรับผลการตัดสิน รางวัลชนะเลิศ หมายเลข 3 นางสาวสุภัสสรา สุปัญญา ชื่อเล่น ซาร่า ปัจจุบันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นศิษย์เก่าคณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรวันที่ 18-19 ธันวาคม 2565 นี้ ทั้งยังเป็นอดีตรองนางงามไหมอันดับ 1 ปี 2561 ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมมงกุฎ และสายสะพาย


รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 หมายเลข 19 นางสาวศิริญาพร พรมีฤกธิ์ ได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท และสายสะพาย รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 หมายเลข 11 นางสาวณัฎฐลินีย์ บาดาล ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และสายสะพาย รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้รับเงินรางวัล รางวัลละ 5,000 บาท และสายสะพาย ได้แก่ หมายเลข 12 นางสาวมยุรี ศรีวิวัฒน์ และหมายเลข 20 นางสาวผกาพันธ์ รุ่งเรืองศรี รางวัล Miss Popular Vote ได้แก่ หมายเลข 6 น้องไนท์ นางสาวกนกขวัญ ชุมแวงวาปี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย
รางวัล Miss Social Media ได้แก่ หมายเลข 20 นางสาวผกาพันธ์ รุ่งเรืองศรี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย รางวัลชุดรักษ์น้ำ ได้แก่ หมายเลข 6 นางสาวกนกขวัญ ชุมแวงวาปี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย.

DPU ผนึกกำลัง สถาบันการศึกษาอินโดฯ พัฒนาการศึกษาให้แข็งแกร่ง คาดเพิ่มรายได้ให้ประเทศ

มธบ.จับมือ 55 สถาบันการศึกษาอินโดฯ-กลุ่มประเทศ CLMV ร่วมพัฒนาการศึกษานานาชาติ
ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายภาคีสัมพันธ์ และคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผยว่า มธบ.นำโดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี และคณะผู้บริหาร ร่วมกับสมาคมชุมชนมุสลิมอาเซียน (Associate of Muslim Community in ASEAN: AMCA) ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อ “Challenges of Community Development in Disruption Era” พร้อมลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับสถาบันการศึกษาจากอินโดนีเซีย จำนวน 55 แห่ง เวียดนาม กัมพูชา และลาว เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาในระดับนานาชาติให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งพัฒนาการศึกษาเพื่อสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน

ภายในงานมีผู้บริหารของสถาบันการศึกษาพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 100 คน และภายใต้การร่วมมือดังกล่าว ยังเป็นการร่วมฉลองครบรอบ 55 ปี ของการก่อตั้ง มธบ.ผศ.ดร.ศิริเดชกล่าวต่อว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากพัฒนาหลักสูตรทางการศึกษาร่วมกันระหว่าง มธบ.และมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซีย รวมทั้ง ประเทศ CLMV อีกกว่า 20 แห่งแล้ว ยังถือเป็นการเปิดตลาดการศึกษาให้กับนักศึกษาชาวมุสลิมของทั้ง 2 ฝ่ายอีกด้วย เบื้องต้นมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียเสนอทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตรในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาของ มธบ.ขณะเดียวกัน มธบ.ก็พร้อมรับนักศึกษามุสลิมจากเครือข่ายพันธมิตร โดยทาง CIBA มีหลักสูตรนานาชาติในหลายสาขาวิชา โอกาสนี้ ถือเป็นการขยายตลาดการศึกษาไปยังกลุ่มนักศึกษามุสลิม ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และยังถือเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศอีกด้วย


“การบุกตลาดการศึกษาไปยังอินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศอาเซียน นับเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยอยู่จำนวนมาก และมีบางแห่งเสนอให้ทุนเรียนฟรี 100% ในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาเรา ทั้งนี้ เบื้องต้นตั้งเป้านักศึกษาจากอินโดนีเซียมาเรียนกับ มธบ.อย่างน้อยปีละ 100 คน” ผศ.ดร.ศิริเดช กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top