Thursday, 9 May 2024
เอ้สุชัชวีร์

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

(14 ธ.ค.66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"พ่อแม่ต้องอยู่เบื้องหลังลูกทุกคน สนับสนุนในสิ่งที่ลูกรัก ที่ลูกอยากทำ สร้างความมั่นใจ ไม่ต้องกลัว ทำดี ทำเลย...สุภาพอ่อนน้อม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก...พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ กอดกัน สร้างวินัย รับผิดชอบเรื่องการเรียน สอนให้รู้จักอารมณ์ตัวเอง รู้จักผิดถูก และ...เล่นมือถือต่อหน้าลูกให้น้อยลง"

‘ดร.เอ้ สุชัชวีร์’ แชร์ 9 เคล็ด (ไม่) ลับ สอนให้ลูกรัก คณิตศาสตร์

ไม่นานมานี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เผยเคล็ดไม่ลับในการสอนคณิตศาสตร์ ให้เด็กๆ รุ่นใหม่ ได้ตระหนักถึงคุณค่าที่ควรโฟกัส และไม่มองว่าเป็นเรื่องยากจนไม่อยากจะเรียนรู้ ไว้ว่า...

คณิตศาสตร์ คือ รากฐานของทุกสาขา ทั้งวิทย์ สังคม ภาษา ล้วนมาจากหลักทางคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น ชนชาติใดเก่งคณิตศาสตร์ ย่อมได้เปรียบ ย่อมเป็นผู้ชนะ มีความแข็งแกร่ง ทรงพลานุภาพ ทางทหาร เศรษฐกิจ สังคม และอารยธรรม

ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่าง การสอนอิชิบอย ลูกวัย 5 ขวบ ให้รักคณิตศาสตร์ และสามารถถอดสแควรูท คูณเลข ยกกำลัง เข้าใจทศนิยม ได้อย่างมหัศจรรย์ โดยไม่ต้องยัดเยียดหรือบังคับเลยแม้แต่น้อย

แถมลูกยังมีความสุขอย่างมาก ที่ได้คำนวนเลข และยังสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ได้อย่างแนบแน่น

โดย ดร.เอ้ ได้เผย 9 ข้อ จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่คุณพ่อคุณแม่ สามารถลองนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม ดังนี้...

1. เริ่มสอนจาก ‘การนับเลข’ นับนิ้ว นับคน นับของ นับต้นไม้ ธรรมชาติรอบตัว สอนนับเลขให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้ลูกพูดได้ทุกคำ นับบ่อยๆ นับทุกวัน เจออะไรให้นับ แม้จะง่าย แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด

2. เริ่ม ‘บวก’ และ ‘ลบ’ ใช้นิ้วมือ ง่ายที่สุด ตามด้วยใช้การ ‘ขีด’ หากมีกระดานดำเล็กๆ ราคาถูก คุ้มค่ามาก มีตั้งแต่ไม่ถึงร้อยบาท ไม่ต้องซื้อของแพง

3. สอนให้ลูก ‘มองเห็นภาพ’ คือ จุดเริ่มต้นของการคิดเลขในใจ เด็กทำได้ทุกคน ขอให้สม่ำเสมอ ทุกวันๆ การมองภาพ พ่อแม่จะวาดเอง หรือ มีสื่อการสอนมากมาย ช่วยพัฒนาทั้งความจำ และตรรกะ

4. อย่ารีบให้ลูกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้เริ่มจากดินสอ-กระดาษ ชอล์ก-กระดานดำ ให้ลูกใช้นิ้ว ให้มือ ให้มากที่สุด ไม่ต้องกังวลเรื่องความสวยงาม 

5. Youtube มีประโยชน์ หากใช้ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ ขอยอมรับว่าเนื้อหาสอนคณิตศาสตร์จาก Youtube ดีมาก สนุก ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งภาษา

6. พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วม ตั้งแต่การนับเลข คำนวณ พร้อมกับลูกทุกวัน เพราะครูที่ดีที่สุดในโลก คือ ‘พ่อแม่’ ไม่เสียเวลาอะไรมาก ใช้เวลาคิดเลขด้วยกันไม่กี่นาที แต่มันเปลี่ยนอนาคตลูกได้เลย

7. หมั่นสร้างโจทย์ สร้าง ‘ความท้าทาย’ ให้กับลูก เสมือนเกม ที่ต้องเล่น ต้องผ่านไปให้ได้ เริ่มต้นจากง่าย ให้ลูกภูมิใจ จนถึงยาก ให้ต้องคิด ต้องมุ่งมั่น เพื่อแก้โจทย์ให้สำเร็จ

8. ‘คำชม’ และ ‘กำลังใจ’ คือ พลังวิเศษ สร้างอนาคตลูก เมื่อลูกทำโจทย์ง่ายๆ สำเร็จ ทั้งส่งเสริมให้ลูกกล้าฝัน และตั้งเป้าหมายชีวิตให้สูง เช่น อยากเป็นนักบินอวกาศ อยากไปดาวพฤหัส อยากเป็นโน่นนี่ แต่พ่อแม่ต้องอย่าขัดคอ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่า มันยากมาก แต่ใครจะรู้ มันอาจเป็นจริงก็ได้ และอย่าลืมบอกลูกว่า ‘จะไปถึงเป้าหมายได้ อันดับแรก คือ การตั้งใจเรียนรู้’ จากนั้นลูกจะมุ่งมั่น เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องบังคับเลย

9. ให้ลูกคิดว่า ‘ความผิดพลาด’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีใครทำถูกไปทุกเรื่อง เขาจะกล้าคำนวณ ทำโจทย์ยากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ไม่กลัวจะตอบผิด ถือเป็นการเรียนรู้ชีวิตไปด้วย

ดร.เอ้ ยังบอกอีกว่า จากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะพ่อที่มีลูกเล็ก ไม่มีถูกผิดในทุกๆ การเรียนรู้ แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่ให้ ‘เวลาที่มีคุณภาพ’ บวกกับ ‘ความอบอุ่นจากการกอด’ ให้มากๆ ตรงนี้จะสร้างลูก สร้างบุคลากรที่มีความมหัศจรรย์ ให้แก่สังคมได้ในอนาคตแน่นอน

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ‘คนเก่ง’ ต้องหมั่นเรียนรู้-ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้

(23 ม.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ช่วงหนึ่งของรายการ ‘ป๋าเต็ดทอล์ก’ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.66 ในหัวข้อ ‘คนเก่ง’ และ ‘คนดี’ คือคนแบบไหน? โดย ดร.เอ้ ได้แชร์มุมมองเอาไว้ว่า…

“หนึ่ง เป็นคนที่ ‘เรียนรู้’ ซึ่งคนที่เก่งแล้วไม่เรียนรู้ ไม่ใช่คนเก่งในวันนี้แล้วล่ะ แต่คุณเป็นคนเก่งของเมื่อวาน และสองต้องเป็นคนที่ ‘ทําได้’ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนเรียนเก่ง ไม่ใช่คนเก่ง เพราะฉะนั้นสองอย่างนี้ต้องเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดและต้องทํางานเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้ถึงจะเรียกว่า ‘คนเก่ง’

ถัดมา ดร.เอ้ ได้อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคำว่า ‘คนดี’ เขาวัดกันอย่างไรว่า “อันนี้จะยากกว่าคนเก่ง จริงๆ บางทีมีคนมาให้ตังค์เราก็คิดว่าคนดีแล้ว บางทีเขาอาจไปปล้นมาก็ได้…ถ้าสําหรับผม ‘คนดี’ ต้องคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต้องเป็นคนที่เสียสละ แล้วก็อยู่ในทํานองคลองธรรม ผมว่าถึงจะเป็นคนดี…”

'ดร.เอ้' ตั้งกระทู้ถาม "เมื่อมันสมองเวียดนามชั้นยอด กำลังกลับบ้าน" 'รัฐบาลไทย' จะพัฒนาเด็กไทยให้ 'สู้-แข่งขัน' ได้อย่างไรต่อไป

(23 ก.พ.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' ตั้งกระทู้ถาม "เมื่อมันสมองเวียดนามชั้นยอด กำลังกลับบ้าน" เวียดนาม น่ากลัวเกินกว่าที่เราคิด รัฐไทยเราจะสู้ แข่งขันได้อย่างไร? โดยระบุว่า...

6 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งผมทำหน้าที่ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย หรือ ทปอ. ได้นำทีมอธิการบดีจากหลายมหาวิทยาลัย เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาดูงานวิจัย และสร้างเสริมความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาระดับโลก

หนึ่งในองค์กรสำคัญที่เราเข้าเยี่ยม คือ สถาบันการศึกษาต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ Institute of International Education (IEE) ที่เป็นองค์กรหลักภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อดูแลนักศึกษาต่างชาติ และเป็นผู้ดูแลกองทุนฟูลไบร์ทอันโด่งดัง

วันนั้นเจ้าภาพที่มาต้อนรับเรา คือ ดร. อลัน กู๊ดแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ IEE เพื่อนต่างวัยของผม ซึ่งภายหลังกรุณามาช่วยเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล หรือ Carnegie Mellon University (Thailand) มหาวิทยาลัยสุดยอดด้านคอมพิวเตอร์ หนึ่งเดียวในเอเชียแปซิฟิกจากอเมริกา ที่ผมก่อตั้งขึ้น 

ดร.อลัน เดินเข้ามาสะกิดผม ชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญที่สุด คือ...

"จำนวนนักศึกษาเวียดนาม ที่มาเรียนในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 2 หมื่นคน มากขึ้นแบบก้าวกระโดด และมากกว่าจำนวนนักศึกษาไทย 4-5 เท่าแล้ว" 

"ประเทศคุณยังไม่รู้ ไม่ตื่นเต้นเลยหรือ ที่รู้ว่า เวียดนามกำลังจะมีคนชั้นมันสมองจำนวนมากว่าของคุณมากมาย ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศชั้นนำ กลับบ้านเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อแข่งขันกับคุณ..."

ผมหยุดนิ่ง งงไปพักหนึ่ง ยอมรับว่าเป็นข้อมูลตรง ของจริง ตรงหน้า จากคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคนหนึ่งในโลก  

ผมตกใจเพราะข้อมูลนี้ ชี้ให้เห็นชัดว่า...

1. เศรษฐกิจเวียดนาม เติบโตไว จนทำให้คนเวียดนามจำนวนมาก มีรายได้สูงขึ้นจนสามารถส่งลูกหลาน เรียนอเมริกาและประเทศชั้นนำได้

2. เด็กเวียดนาม มีศักยภาพสูงขึ้นมาก ทั้งด้านภาษาอังกฤษ และด้านวิชาการที่ยอดเยี่ยม คะแนนวัดผล PISA สูงกว่าเด็กไทยโดยเฉลี่ยทุกด้าน ทำให้นักศึกษาเวียดนามได้ทุนเรียนฟรีจำนวนมาก จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณรัฐ

3. รัฐบาลเวียดนาม มีวิสัยทัศน์ มองไกล ไม่ปิดกั้น ส่งเสริมให้เด็กเวียดนามเรียนต่อในต่างประเทศจำนวนมาก รัฐอำนวยความสะดวกทุกอย่าง

4. รัฐบาลอเมริกันและโลกตะวันตก วันนี้มองเวียดนามไม่ใช่ศัตรู แต่มองเป็นพันธมิตรใหม่ในเอเชีย และมั่นใจในอนาคตทางเศรษฐกิจ เพราะเวียดนามมุ่งเป้า 'ยกระดับการศึกษา' จึงรับเด็กเวียดนามให้มาเรียนในมหาวิทยาลัยอเมริกัน ทั้งยังชอบความขยัน อดทน มีวินัยของเด็กเวียดนาม

5. อเมริกาไม่ใช่จุดหมายเดียว ยังมีอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และรัสเซีย คิวบา ที่เป็นมิตรรักของเวียดนามในอดีต ที่มีมหาวิทยาลัยชั้นยอด รับเด็กเวียดนามจำนวนมากต่อปี มากกว่ารับเด็กไทยมากมายนัก

ยิ่งไปกว่านั้น สมัยที่ผมเรียนที่ MIT ผมมีเพื่อนเวียดนามที่เกิดในอเมริกา ที่เรียนเก่งสุดๆ และยังคงผูกพัน สามัคคี มีความรักชาติ บ้านเกิดของบิดามารดา พร้อมกลับไปช่วย หรือพร้อมช่วยเหลือคนเวียดนามด้วยกันเต็มที่

ผมแชร์เรื่อง 'เวียดนามกับไทย' มาหลายครั้ง ตั้งแต่ยังเป็นอธิการบดีพระจอมเกล้าลาดกระบัง จนมาทำงานการเมือง เพื่อกระตุ้นเตือน แต่ไม่เห็นความมุ่งมั่น ไม่เห็นการเอาจริงเอาจัง ของรัฐบาลไทย ในการ 'พัฒนาศักยภาพของเด็กไทย'

ผมจึงขอตั้ง 'กระทู้ถาม' ในฐานะพลเมืองไทย ว่า รัฐบาลจะทำอย่างไร ให้เด็กไทยได้รับการพัฒนา ยกระดับทักษะ เพื่ออยู่รอดได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านทรัพยากรมนุษย์ และจะเป็น 'ปัญหาปากท้อง' คนไทยอาจไม่หลุดพ้นจากวงจรความยากจน เพราะไม่มีทักษะที่โลกอนาคตต้องการ เศรษฐกิจไทยก็ไม่โต

ผมยังมั่นใจ #เด็กไทยไม่แพ้ใครในโลก แต่รัฐต้องมุ่งมั่น ต้องทำงานหนักกว่านี้ ไม่งั้นเรา แพ้เวียดนาม (แน่ ๆ)

ด้วยความห่วงใยครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top