Tuesday, 30 April 2024
NEWSFEED

นายณรงค์ไชย  ปัญญไพโรจน์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction  Program : T-VER) กับ  ดร.พฤกษ์  อักกะรังสี  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ  คุณอานนท์ ฤทธิ์ธาร ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ ผู้แทนจากบริษัท ซีพีพี จำกัด

.

การลงนามความร่วมมือดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาก๊าซไบโอมีเทนอัดจากน้ำเสียและของเสียโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของบริษัท ซีพีพี โดยการกักเก็บก๊าซมีเทนจากการบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซ NGV ในสถานีบริการ NGV  ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันได้ต่อยอดความร่วมมือเพื่อขอการรับรองคาร์บอนเครดิตในโครงการ T-VER  ทั้งนี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศอย่างแข็งแรงและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่ ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น

ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี พ.ศ. 2565 ให้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  ในโอกาสที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยองผ่านการตรวจประเมินและได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรม

 

โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง นับเป็นส่วนการผลิตที่สำคัญยิ่งต่อวงจรอุตสาหกรรมด้านพลังงานในประเทศ ทั้งยังสร้างนวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกภาคส่วน โดยล่าสุดได้ใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมนำความเย็นที่เกิดจากกระบวนเปลี่ยนสถานะของก๊าซฯ จากกระบวนการผลิตมาปรับใช้เพาะปลูกพืชเมืองหนาว คือสตรอว์เบอรี่พันธ์ “Akihime” ที่โรงเรือนอัจฉริยะ  ณ  สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ จ.ระยอง ซึ่งให้ผลผลิตตลอดทั้งปี

 

ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. คือ “ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต” หรือ “Powering Life with Future Energy and Beyond” กล่าวได้ว่า ปตท. ได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและสร้างคุณค่าต่อสังคมไทยและประเทศอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด

นักวิทย์ประณาม ห้องแล็บในสหรัฐฯ 'เล่นกับไฟ' เอาเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่นแบบดั้งเดิม มาผสมกับโอมิครอน จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตถึง 80%

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 65 เว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล รายงานอ้างคำเปิดเผยของศาสตราจารย์ชามูเอล ชาปีรา นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของรัฐบาลอิสราเอล ที่กล่าวประณามนักวิจัยของห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบอสตัน ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ ที่ทำการทดลองเพาะเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ไฮบริด ที่เกิดจากการสกัดหนามโปรตีนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ที่มีอัตราการแพร่เชื้อเร็วสูงสุด มาตัดแต่งเข้ากับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้ชื่อว่า 'โอมิครอน-เอส'
.
นักวิทยาศาสตร์ของอิสราเอลระบุว่า การทดลองนี้เรียกได้ว่าเป็นการ 'เล่นกับไฟ' ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เพราะจากการทดลองกับหนูจำนวน 10 ตัวที่ได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เพาะออกมาในห้องทดลองนี้ ปรากฏว่าหนูตายไป 8 ตัวจากจำนวนทั้งหมด 10 ตัว คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 80% 
.
รายงานข่าวระบุว่า การเปิดเผยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายที่ยังคงดำเนินต่อไปจากการทดลองในห้องแล็บสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าอาจเกิดการหลุดรอดออกมาของเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อีกรอบ แม้ว่าการทดลองเพาะเชื้ออันตราย อย่างงานวิจัยที่พยายามสร้างซูเปอร์ไวรัสขึ้นมาเพื่อศึกษาว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างไรได้บ้าง (Gain of Function research) ได้ถูกสั่งห้ามในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ขณะที่มีความเชื่อกันว่า เชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลก มีต้นตอมาจากตลาดค้าสัตว์ป่า ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องทดลองวิจัยเชื้อไวรัสโคโรนาในค้างคาว ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ของจีน
.
นายแพทย์ริชาร์ด อีไบร์ท นักเคมีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในเมืองนิว บรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์กล่าวว่า หากโลกต้องการปกป้องไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากห้องแล็บครั้งใหม่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องสอดส่องไม่ให้เกิดการวิจัยซูเปอร์ไวรัสอันตรายขึ้นมาอีก
.
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2529533
https://ch3plus.com/news/international/frontpagenews/315895

สำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดเผยผลการศึกษาจากสถาบันวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (NIEHS) ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) พบว่า น้ำยายืดผมอาจเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก หากใช้บ่อยครั้ง

อเล็กซ์ซานดรา ไวท์ หัวหน้าทีมวิจัยจาก NIEHS เผยว่าทีมวิจัยคาดว่าผู้หญิง 1.64% ที่ไม่เคยใช้น้ำยายืดผมมีควาเสี่ยงเกิดมะเร็งปากมดลูกช่วงอายุ 70 ปี แต่หากใช้บ่อยจะเกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก 4.05%

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ติดตามผู้หญิงจากหลากหลายเชื้อชาติทั้งหมด 33,947 คน เป็นระยะเวลาเกือบ 11 ปี มีช่วงอายุระหว่าง 35-74 ปี และพบว่าผู้หญิง 378 คนเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก
 
หลังจากสำรวจปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ในผู้เข้าร่วมทดสอบ พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก จากน้ำยายืดผมมีมากกว่าปัจจัยอื่นถึง 2 เท่า และเสี่ยงสูงเป็น 4 เท่าเมื่อปีก่อน และแม้ใช้ยายืดผมน้อยครั้ง เมื่อปีก่อน พบว่ามีความเสี่ยงเกิดมะเร็งปากมดลูกสูง แต่ทางสถิติไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ใช้งานน้อยกับผู้ใช้งานบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่า ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งได้อยู่

นอกจากนี้ งานวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่า น้ำยายืดผมมีสารเคมีที่มีผลต่อต่อมไร้ท่อ และผลวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า น้ำยายืดผมมีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ ระบุว่า (ซีดีซี) มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งทางนรีเวชที่พบมากที่สุดในสหรัฐ มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตลอด โดยเฉพาะผู้หญิงผิวดำ เนื่องจากผู้หญิงผิวดำใช้น้ำยายืดผมหรือครีมยืดผมบ่อยครั้ง และมีแนวโน้มที่จะใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยมากกว่าคนเชื้อชาติอื่นหรือชาติพันธุ์อื่น การค้นพบนี้ อาจมีความเกี่ยวข้องกับพวกเธอมากขึ้น

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  พร้อมผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. ในนาม “ชมรมพลังไทยใจอาสา กลุ่ม ปตท.”

ร่วมบรรจุถุงยังชีพจำนวน 1,500 ถุง เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลพายุโนรู ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ได้แก่ เทศบาลตำบลวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 1,000 ถุง พร้อมส่งทีมปฏิบัติการชมรม PTT Group SEALs เจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบนและอุปกรณ์กู้ภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ และนำส่งที่ตำบลท่ามะนาว อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี จำนวน 500 ถุง

 

โดยในปี 2565 นี้ ปตท. มีแผนการดำเนินการแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนกว่า     10,000 ถุง โดยถุงยังชีพประกอบด้วย อาหารพร้อมรับประทาน เครื่องอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและสามารถใช้ได้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเบื้องต้น

สหรัฐอเมริกา สนใจลงนาม MOU  Cyber  ไทย หวังดึงกลุ่มลงทุน เข้าไทย

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม และ นาย อะเลฮันโดร มาโยกัส  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา  ร่วมหาลือ เเลกเปลี่ยนทางด้าน ความปลอดภัย ไซเบอร์ระหว่างร่วมงาน Singapore international Cyber week ณ.ประเทศสิงคโปร์  ซึ่ง นายอะเลฮันโดร มาโยกัส  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ได้ระบุว่า ทางสหรัฐอเมริกา สนใจ ที่จะ ลงนาม MOU กับประเทศไทย ในเรื่อง ความร่วมมือ ด้านการป้องกันภัย ไซเบอร์ หรือ Cyber security  เเละมุ่งเน้นไปที่วิธีจัดการอาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวกับเยาวชน และควรช่วยกันความรู้ร่วมถึงต้องการให้ คนไทย  ได้รับการฝึกอบรมเรียนรู้เรื่อง Cyber Security โดยเรียนรู้จากสถาบัน  Idaho National Laboratory ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเน้นย้ำเรื่องการป้องกัน Scams ซึ่งทางสหรัฐอเมริกามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เลย เพื่อไม่ให้คนตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์เหล่านี้อีก ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ได้กล่าวเชิญให้บริษัทในสหรัฐอเมริกามาลงทุนเรื่องการตั้งธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งตอนนี้กำลังเติบโตไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ยังพบกับการหอการค้าสหรัฐอเมริกาพร้อมกับบริษัททางด้าน Cyber Security ประมาณ 40 บริษัทที่ให้ความสนใจ ลงทุนในไทยด้วย

กลุ่ม ปตท. มอบบัตรเติมน้ำมัน สนับสนุน กทม. บรรเทาเหตุน้ำท่วม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลางซ้าย) มอบบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 200,000 บาท ในนามกลุ่ม ปตท. แก่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กลางขวา) เพื่อสนับสนุนการทำงานของกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือเหตุอุทกภัย และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต กทม.

 

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

กล่าวว่าเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา กระทรวง อว.ได้ประกาศระบบการเทียบโอนหน่วยกิต และระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญภายใต้นโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษา ของ รมว.อว.ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์

โดยระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนากำลังคนของประเทศผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนในทุกช่วงวัย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักศึกษาสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ภายใต้ระบบคลังหน่วยกิต ซึ่งผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตผ่านในระบบคลังหน่วยกิตได้ผ่าน 3 รูปแบบ ได้แก่

1.หลักสูตรต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ทุกวิชาสามารถเปิดให้คนทุกช่วงวัยเข้ามาเรียนเพื่อสะสมหน่วยกิตได้

2.หลักสูตรจากสถาบันอบรมต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองจาก อว.โดยต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งในการเปิดหลักสูตรร่วมกัน ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว

3.ประสบการณ์การทำงาน ทุกคนสามารถเอาประสบการณ์การทำงานมาเป็นเครดิตตนเองได้ แต่ทั้งนั้นก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะกำหนดแบบใดถึงจะมีการนำเอาประสบการณ์มาเทียบเป็นหน่วยกิตได้

โดยจะมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา สถานประกอบการไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เมื่อเทียบโอนและสะสมไว้ที่คลังหน่วยกิตแห่งชาติแล้วสามารถนำขอรับปริญญาบัตรจากสถาบันอุดมศึกษาได้ หรือเพื่อเป็นรายงานผลลัพธ์การเรียนรู้สะสมของผู้เรียน ประเดิมนำร่อง กับ 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566 ได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ศ.ดร.ศุภชัยกล่าวต่อว่าที่ผ่านมา อว.ได้ดำเนินโครงการ Thailand Cyber University ที่มีหลักสูตรออนไลน์ ผ่าน Thai MOOC ซึ่งช่วยในการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้แก่ผู้เรียนนอกมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว ในขณะที่ระบบคลังหน่วยกิตใหม่นี้จะเป็นการต่อยอด และขยายโอกาสการเรียนรู้ของผู้เรียนออกไปอีกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดผลอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ อว.จึงได้ร่วมกับ SkillLane และอีก 4 มหาวิทยาลัย ในการนำร่องการทดลองระบบคลังหน่วยกิตทั้งในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการตามประกาศ และทางเทคนิคที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูล และจะขยายรูปแบบตามโครงการนำร่องไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดประโยชน์สูงสุด

ด้านนายฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิลเลน เอดูเคชั่น จำกัด กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือในโครงการนำร่องจัดทำคลังหน่วยกิตแห่งชาตินี้ได้จะใช้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของเราเข้ามาช่วยพัฒนาระบบสารสนเทศของคลังหน่วยกิตแห่งชาติโดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อคลังหน่วยกิตของแต่ละสถาบันเข้าไว้ด้วยกัน

รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า คลังหน่วยกิตแห่งชาติจะเชื่อมต่อกับ TUXSA ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์ของธรรมศาสตร์ได้อย่างลงตัวในอนาคตแล้ว ยังจะช่วยให้ธรรมศาสตร์กลับไปทำหน้าที่ตลาดวิชายุคดิจิทัลที่ส่งเสริมการ Upskill และ Reskill ให้กับคนในทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ม.ธรรมศาสตร์ได้ปรับตัวในเรื่องการเรียนการสอนหลายด้าน เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งประกาศกฎระเบียบใหม่ คือเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่ไปประกวดหรือแข่งขันโครงการใด ๆ ก็ตามสามารถนำเอาผลสำเร็จตรงนั้นมาเทียบเป็นหน่วยกิตได้เป็น 6 หน่วยกิต หรือถ้าเป็นสตาร์ตอัพก็สามารถนำมาเทียบเป็นหน่วยกิตได้ถึง 16 หน่วยกิต เพราะการที่เป็นสตาร์ตอัพได้นั้น แปลว่ามีความรู้ความสามารถ มีบริษัทที่เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งการปรับตัวในลักษณะนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสแก่นักศึกษา ทำให้นักศึกษามีประสบการณ์ตั้งแต่เรียนในห้องเรียน เพราะตอนนี้การเรียน 4 ปีในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอาจช้าไป นักศึกษาธรรมศาสตร์ต้องมีความรู้ มีประสบการณ์ตั้งแต่ในห้องเรียน”

รศ.ดร.ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต่อว่าคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (NCBS) เป็น Ecosystem สำคัญของกระทรวง ที่ขยายโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาในระบบ Formal Informal และ Non-Formal Education ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนความรู้ใหม่ ๆ ผ่านหลากหลายแหล่งเรียนรู้และประสบการณ์การทำงานจริง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของจุฬาฯ ในศตวรรษใหม่ที่พร้อมปรับตัวเข้ากับอนาคต ผ่านการมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนสังคมและประเทศ รวมถึงผลิตบัณฑิตสมรรถนะสูงที่ตอบสนองความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคใหม่บนฐานของ Demand Driven

รศ.ดร.ปรารถนา ใจผ่อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าตอนนี้ ม.เชียงใหม่ มีหลักสูตรมากกว่า 200 หลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยเข้ามาเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออฟไลน์ ออนไลน์ ซึ่งเราทำมาสักระยะหนึ่ง และเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2564 และคาดว่าในอนาคตจะมีการเปิดหลักสูตรมากขึ้น เพื่อรองรับกับระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ และทำให้การเรียนในรูปแบบสะสมหน่วยกิต เป็นที่รับรู้และเข้าใจไปยังวงกว้างมากขึ้น

รศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่าเรามียุทธศาสตร์ ONE RMUT ของกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) 9 แห่ง เพื่อร่วมกันพลิกโฉมแนวทางการผลิตกำลังคนยุคใหม่ เพื่อผลิตกำลังคนสมรรถนะสูงและนวัตกรเพื่อพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว คาดว่าระบบคลังหน่วยกิตจะช่วยซัพพอร์ตการพัฒนากำลังคนของกลุ่ม ONE RMUT ตอนนี้เรามีการวางหลักสูตรในระบบราว 45 หลักสูตร สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี และคนทั่วไป

“ยะลา” จังหวัดผังเมืองสวย อันดับ 1 ของไทย อันดับ 23 ของโลก

“ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดยะลาได้เป็นอย่างดี ความงามประการแรกที่ใครหลาย ๆ คนคำนึงถึง คงไม่พ้นเมืองที่มีผังสวยที่สุดของประเทศไทย จากการที่เทศบาลนครยะลาได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการพิจารณาในส่วนของโซนเอเชียและแปซิฟิค เมื่อปี พ.ศ.2546 จนผ่านการตัดสินชนะเลิศจากกรรมการตัดสินชุดใหญ่ของ UNESCO ได้รับรางวัล UNESCO Cities และมีเว็บไซต์ชื่อดัง จัดอันดับ "ยะลา" ให้เป็นผังเมืองที่ดีที่สุด อันดับที่ 23 ของโลกในปี 2560 และนับได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย 
.
การวางแผนผังเมืองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นเครื่องมือหนึ่งในฐานะกฎหมายที่มีบทบาทในการกำหนดประเภทการที่ดินและกิจกรรมต่าง ๆของมนุษย์ และเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาในอนาคตอีกด้วย หากไม่มีการวางผังเมืองก็จะทาให้เกิดปัญหาต่างๆ กับเมือง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเจริญเติบโตอย่างไร้ทิศทางของเมือง ปัญหาชุมชมแออัด ปัญหาทางด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาการป้องกันภัยธรรมชาติ และยังยากต่อการวางแผนนโยบายการพัฒนาต่อยอด เมืองในอนาคตอีกด้วย
.
วางผังเมืองก่อนจะเป็นเมือง :  เมืองยะลา เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองใหญ่ในประเทศไทยที่มีการวางผังเมืองตั้งแต่ก่อนเริ่มก่อร่างสร้างเมือง สมัยที่ชุมชนเมืองยะลายังเป็นชุมชนขนาดเล็กเกาะตัวอยู่ใกล้สถานีรถไฟ รายล้อมด้วยสวนยางและป่าไม้ การตัดถนนจึงดำเนินการไปในพื้นที่สวนและป่าเป็นส่วนใหญ่ จุดเริ่มต้นของการวางผังเมืองยะลา การวางผังเมืองยะลานั้นริเริ่มโดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) อดีตข้าหลวงคนที่ 10 ของจังหวัดยะลา (พ.ศ.2456-2458) ซึ่งเมื่อลาออกจากราชการแล้วได้รับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองยะลาถึงสองสมัย (พ.ศ.2480-2488)
.
พระรัฐกิจวิจารณ์ได้ร่วมกับสหาย ข้าราชการ วางผังเมืองยะลาโดยได้รับการเสนอแนะจากแผนกผังเมือง กรมโยธาเทศบาล วางผังเมือง ยะลา โดยเรียกว่า ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 2485 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) มีการวางแผนการกำหนดพื้นที่การใช้ที่ดินในเขตเมือง และการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ภายในเมือง ในการริเริ่มดำเนินงาน พระรัฐกิจวิจารณ์และสหายข้าราชการ ได้ร่วมกันหาศูนย์กลางของเมืองแล้วจึงปักหลักก้อนใหญ่และมีก้อนหินไว้เป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายหลังได้เป็นที่ตั้งของศาลหลักเมือง และได้วางแผนผังเมืองเป็น วงเวียนรอบศูนย์กลางเมือง ทั้งสิ้น 3 วง โดยเตรียมที่ดินในบริเวณนี้ไว้เป็นสถานที่ราชการ คือ บริเวณวงในสุด เป็นสถานที่ราชการต่าง ๆ เช่น ศาลากลาง จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานที่ดิน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วงเวียนที่สอง คือ บ้านพักข้าราชการ และวงเวียนที่สาม ซึ่งเป็นวงเวียนสุดท้ายเป็นที่ตั้งของ โรงเรียน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัยของประชาชน
.
มีการสร้างถนนเข้ามายังศูนย์กลางเมืองที่เรียกว่า กิโลศูนย์ และตัดถนนสายต่าง ๆ กว่าทั่วทั้งเมืองยะลา ถนนพิพิธภักดี เริ่มจากสถานีรถไฟยะลาไปยังกิโลศูนย์ ถนนสุขยางค์ จากหอนาฬิกาไปถึงกิโลศูนย์ ถนนสิโรรสจากสถานีรถไฟยะลาถึงหน้าโรงพยาบาล ปัจจุบันถนนพิพิธภักดีและถนนสิโรรสเป็นถนนสายเอกของเทศบาลเมือง มีความสวยงาม ถนนพิพิธภักดี ซึ่งเป็นถนนคู่ มีทางเดินเท้าและช่องทางจักยาน และปลูกต้นประดู่เรียงรายไว้ตามเกาะกลาง และมีการตัดถนนสายย่อย ๆเป็นรูปสี่เหลี่ยมหมากรุก ได้แก่ ถนนยะลา ถนนไชยจรัส ถนนรัฐกิจ ถนนประจิน ถนนพังงา และถนนรวมมิตร เป็นต้น การตัดถนนเหล่านี้ได้ยึดหลักเกณฑ์ที่ว่าในการวางผังเมืองและตัดถนนได้แบ่งตัดซอยให้หลังบ้านชนกันแต่ห่าง 4 เมตร สำหรับ เป็นที่วางขยะ ถังขยะและสะดวกต่อการดับเพลิง 
.
กำหนดรูปแบบการใช้ที่ดินไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม : ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 85 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) ซึ่งถือว่า เป็นการวางแผนผังเมืองยุคแรกๆ ของประเทศไทยนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า พระรัฐกิจวิจารณ์ ไม่ได้เน้นเพียงแค่รูปแบบที่มี ความสวยงามของ ผังเมืองเท่านั้น แต่ยังได้จัดสรร จัดประเภทการใช้ที่ดินเข้าเป็นหมวดหมู่เดียวกัน โยการกำหนดรูปแบบ และการใช้ที่ดินในเมืองยะลา แบ่งไว้อย่างชัดเจน เป็น 6 ประเภท ซึ่งเป็นแนวทางในการต่อยอดพัฒนาเมืองเรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
.
ประเภทที่ 1 พื้นที่สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ พื้นที่สถาบันราชการของเมืองยะลานั้นจะวางอยู่ บริเวณศาลหลักเมือง และวงเวียนหลักทั้งสามวงเวียน และถนนสิโรรส
.
ประเภทที่ 2 พื้นที่โล่งและนันทนาการ และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เมืองยะลานั้นได้รับสมญานามว่า เมืองแห่งสวน  ซึ่งทั่วทั้งเมืองยะลา ประกอบด้วยสวนและนันทนาการต่าง ๆ ดังนี้
•    สวนขวัญเมือง (พรุบาโกย) สร้างบนพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 207 ไร่ ประกอบด้วย สวน สนามกีฬา สนามแข่งขันนกเขาชวาเสียง ซึ่งเป็นสนามมาตรฐานที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และชายหาดจำลอง 
•    สวนศรีเมือง เป็นสวนที่สร้างเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และคันกั้นน้าริมแม่น้ำปัตตานี เริ่มต้นจาก บริเวณตลาดเมือง ใหม่ถึงบริเวณสะพานข้ามทางรถไฟ เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างแล้ว เสร็จปี พ.ศ. 2546
•    สวนสาธารณะบ้านร่ม แหล่งพักผ่อนหย่อนใจริมน้ำบ้านสะเตง เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะใจกลาง เมืองของเทศบาลนครยะลา ประกอบด้วยต้นไม้นานาพรรณและศาลาริมน้ำรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ของ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
•    สวนสาธารณะสนามช้างเผือก (สนามโรงพิธีช้างเผือก) มีพื้นที่ 80 ไร่ เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างเผือก "พระเศวตสุรคชาธาร" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2511 ภายในสวนสาธารณะมีศาลากลางน้ำ รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ และสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ที่ใช้จัดกิจกรรม ต่าง ๆ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ 
•    สวนมิ่งเมือง สวนกิจกรรมเพื่อเยาวชนประกอบไปด้วยสวนย่อย ๆ 4 สวน ได้แก่ สวนมิ่งเมือง หรือ บาโร๊ะบารู 1-4 สวนสาธารณะมิ่งเมืองมีความยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร โดยสวนมิ่งเมือง 4 เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  ภายในสวนประกอบด้วย สนามฟุตบอลหญ้าเทียม และสนามเด็กเล่น 
•    ศูนย์เยาวชนยะลา ประกอบไปด้วยสนามขนาดใหญ่เพื่อใช้รองรับการจัดงานสำคัญๆระดับจังหวัด ซึ่งในยาม ปกติชาวเมืองยะลาจะใช้เล่นฟุตบอล ออกกำลังกาย และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ฟิตเนสของเทศบาล นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ อุทยานการเรียนรู้ยะลา (TK PARK YALA) ซึ่งเป็นอุทยานการเรียนรู้แห่งแรกในส่วนภูมิภาค
•    สนามกีฬาชุมชนจารู เป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอลหญ้าเทียมขนาดมาตรฐานแห่งเดียวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสเตเดียม ถือว่าเป็นสนามกีฬาที่มีความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬาทั้งในระดับจังหวัด และภูมิภาค
•    บึงแบเมาะ บึงแบเมาะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณชุมชนตลาดเก่า ติดกับเขาตูม และค่าย สิรินธร บึงแบเมาะถือว่าเป็นบึงที่มีความสำคัญของเมือง ในฐานะเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำขนาด ใหญ่ และนอกจากนี้ทางเทศบาลยังมีนโยบายพัฒนาบึงให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และนันทนาการ
.
ประเภทที่ 3 พื้นที่พาณิชยกรรม ตั้งรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน โดยมีถนนสายสำคัญๆ ของเมืองล้อมรอบ ได้แก่ ถนนสิโรรส ถนนพิพิธภักดี ถนนสุขยางค์ โดยชาวยะลามักเรียกพื้นที่พาณิชยกรรมว่า “สายกลาง” นอกจากนี้ เมืองยะลายังมีตลาดขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง ได้แก่ ตลาดเมืองใหม่ ตลาด สดผังเมืองสี่ ตลาดนัดเสรี ตลาดเช้า และตลาดหลังสถานีรถไฟบริเวณถนนวิฑูรอุทิศ ย่านตลาดเก่ากระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
.
ประเภทที่ 4 พื้นที่ที่อยู่อาศัย เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ซึ่งประชากรจะอาศัยอยู่ หนาแน่นบริเวณเขตพาณิชยกรรม และลดลงเรื่อยๆ จนกระทั้งกระทั้งเข้าพื้นที่เมืองสะเตงนอก โดยพื้นที่ ประชากรหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) จะล้อมรอบพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม)
.
ประเภทที่ 5 พื้นที่เกษตรกรรม อยู่บริเวณขอบนอกของเมือง และประเภทที่ 6 พื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้า ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ตลาดเก่า และถนน เทศบาล 1 โดยพื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้านั้นพบได้น้อยมากในเขตเมืองยะลา

รู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2

หลังจากที่เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และเจ้าชายแฮรี่  นำขบวนพระราชนัดดาอีก 6 พระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 เข้าพิธีประทับยืนสงบนิ่งเฝ้าหีบพระบรมศพ ณ เวสต์มินส์เตอร์ ฮอลล์ ในกรุงลอนดอน ในวันที่ 17 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา สาธารณชนชาวอังกฤษได้จับตามองมาที่ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระโอรสองค์ที่ 2 ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ และพระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2 เป็นพิเศษ 
.
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังทรงพระเยาว์ วัยเพียง 14 ปี มีความน่าเอ็นดู แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสงบนิ่ง สุขุมเกินวัย ในการประกอบราชพิธีสำคัญระดับชาติ ร่วมกับ พระญาติที่สูงกว่าทั้งวัยวุฒิ และยศถาบรรดาศักดิ์กว่าได้อย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่ประทับใจชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากที่ได้ชมพิธีผ่านสื่อ 
.
และทำให้ระลึกถึงอดีตเจ้าชายวิลเลียม ในวัย 15 พรรษา ในงานพิธีศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่จัดขึ้นในวันที 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น อยู่ไม่น้อย
.
วันนี้ เรามาทำความรู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์องค์น้อยที่กลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนอังกฤษในวันนี้กันดีกว่า 
.
 เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น มีชื่อจริงเต็มๆว่า "เจมส์ อเล็กซานเดอร์ ฟิลิป ธีโอ" และใช้นามสกุล "เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์" สื่อมวลชนมักเรียกชื่อแบบย่อว่า "เจมส์ วินเซอร์" ปัจจุบัน ดำรงพระยศเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" นับเป็นทายาทลำดับที่ 14 ของราชวงศ์อังกฤษ  เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่เมืองเซอร์รีย์  บิดา คือ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นพระโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 มารดา คือ ท่านหญิง โซฟี เฮเลน ไรนส์-โจนส์ 
.
ซึ่งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิง โซฟี มีธิดาองค์ต่อ คือ เลดี้ หลุยส์ อายุ 18 ปี และกำลังเข้าศึกษาต่อสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่ University of St. Andrews ในสกอตแลนด์ ในภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ 
.
ในช่วงวัยทารกของ เจมส์ วินเซอร์ เขากลายเป็นที่รักของคนในครอบครัวอย่างมาก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระบิดาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า เจมส์เป็นเด็กทารกที่น่ารัก น่ากอดมากๆ และทั้งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิงโซฟี ก็ตั้งใจที่จะเลี้ยงบุตร ธิดา ให้เติบโตขึ้นอย่างเด็กๆทั่วไป ด้วยการขอพระราชทานอนุญาตจากควีน เอลิซาเบธที่ 2 ขอสละฐานันดร "เจ้าชาย" "เจ้าหญิง" ของบุตร ธิดาของท่าน รวมถึงให้ละคำนำหน้าชื่อด้วยอักษรย่อ  "H.R.H" ( His Royal Highness) ที่ใช้นำหน้าชื่อพระบรมวงศานุวงศ์ระดับเจ้าฟ้า 
.
ซึ่งท่านหญิงโซฟี ผู้เป็นมารดาให้เหตุผลว่า ต้องการเลี้ยงลูกๆ ให้เติบโตพร้อมตระหนักในหน้าที่ว่าจำเป็นต้องประกอบสัมมาชีพเพื่อดูแลครอบครัวให้ได้เหมือนคนทั่วไป ส่วนฐานันดรศักดิ์ จะให้สิทธิลูกๆ เป็นคนตัดสินใจเองเมื่อบรรลุนิติภาวะ แต่ทั้งนี้ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดำรงพระอิสริยยศเป็นเอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางของอังกฤษที่มีการสืบทอดทายาทได้ ดังนั้น เจมส์ วินเซอร์ จึงได้รับตำแหน่งเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" ในฐานะที่เป็นทายาทของเอิร์ล นั่นเอง
.
ปัจจุบัน  เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น ศึกษาในโรงเรียน Eagle House School ที่ตั้งอยู่ภายในราชมณฑลบาร์กเชอร์  และช่วงเวลาที่ผ่านมา เจมส์ วินเซอร์ แทบไม่เคยเปิดเผยตนออกสื่อในอังกฤษ จึงทำให้ชาวอังกฤษไม่คุ้นหน้าของพระราชนัดดาองค์เล็กพระองค์นี้นัก แม้ว่า ไวส์เคาท์ เซเวิร์น และ เลดี้ หลุยส์ จะร่วมงานพิธีสำคัญของราชวงศ์หลายงาน อาทิ งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายแฮรี่ และ เมแกน มาร์เคิล หรืองานฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top