Friday, 10 May 2024
NEWSFEED

รัฐบาลเตรียมของที่ระลึก 7 ชิ้น สำหรับมอบให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจ-คู่สมรส ในการประชุม APEC 2022 ซึ่งล้วนมีความหมายและคุณค่า “ภาพและเครื่องประดับดุนโลหะ - ผ้าไหมปักธงชัย-เหรียญกษาปณ์ – กรอบรูปถมเงิน - กล่องย่านลิเภา - สมุดผู้ผลิตผ้าไหม”

(6 พฤศจิกายน 2565) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงของที่ระลึกสำหรับผู้นำ - คู่สมรส และแขกพิเศษ ที่จะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC 2022 ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ซึ่งมี 7 ชิ้น ดังนี้

.

1.ภาพดุนโลหะ ขนาด 30 x 60 ซม. หนา 5 ซม. ผลิตจากโลหะรีไซเคิล สะท้อนถึงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของ BCG ใช้เทคนิคดุนลายบนแผ่นโลหะรีไซเคิล โดยขึ้นเป็นรูปพระบรมมหาราชวัง มุมมองจากหอประชุมกองทัพเรือ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและคู่สมรส ประดับพื้นหลังด้วยตราสัญลักษณ์การเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทย “ชะลอม” ที่จัดวางเป็นรูปทรงตราประจำยามของไทย ผลิตจากชุมชนคุณธรรมวัดศรีสุพรรณ (วัวลาย) จังหวัดเชียงใหม่

.

2.กล่องเครื่องประดับดุนโลหะ (สำหรับคู่สมรส) ขนาด 13 x 20 ซม. หนา 5 ซม. ใช้เทคนิคดุนลายบนแผ่นโลหะรีไซเคิล เป็นลวดลายด้วยตราสัญลักษณ์การเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทย “ชะลอม” ที่จัดวางเป็นรูปทรงตราประจำยามของไทย ผลิตจากชุมชนคุณธรรมวัดศรีสุพรรณ (วัวลาย) จังหวัดเชียงใหม่

.

3.ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือย้อมสีธรรมชาติจาก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา พิมพ์ลายตราสัญลักษณ์ชะลอม ประกอบด้วย เนคไท ผ้าคลุมไหล่ ผ้าเช็ดหน้า หน้ากากผ้า

.

โดยของขวัญและของที่ระลึกทั้ง 3 รายการจะใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากไม้ยางพาราฆ่าเชื้อ ประดับตราสัญลักษณ์ APEC 2022 ด้านหน้าบรรจุภัณฑ์

.

ทั้งนี้นายอนุชา กล่าวต่อว่า ส่วนของขวัญที่ระลึกจากหน่วยงานของไทย คือ

.

1.สมุดรายนามผู้ผลิตผ้าไหม และผู้ประกอบการทั่วประเทศฉบับพิเศษ โดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

.

2.เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกการประชุมฯ โดยกรมธนารักษ์ และของขวัญ ของที่ระลึกจากสถาบันสิริกิติ์ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จำนวน 2 รายการ ได้แก่

.

1.กรอบรูปถมเงิน ขนาด 5 x 7 นิ้ว พร้อมภาพพระราชทานของผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ในระหว่างการเข้าเฝ้าฯ

.

2.กล่องลิเภาเลี่ยมขอบเงิน ตกแต่งเงินลงยาสี ซึ่งทั้ง 2 รายการนี้จะมอบให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจ และแขกพิเศษของรัฐบาลในภายหลัง

.

รัฐบาลใส่ใจทุกรายละเอียดในการจัดการประชุมฯ ซึ่งของขวัญของที่ระลึกผ่านชุดความคิดว่าจะต้องนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทรงคุณค่า มีเรื่องราวที่สามารถนำเสนอได้ และสอดคล้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คำนึงถึงโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งนี้เพื่อให้ผู้นำทุกเขตเศรษฐกิจที่จะเดินทางมาร่วมการประชุมประทับใจในรายละเอียดการเตรียมการต้อนรับของไทย” นายอนุชา กล่าว

.

“วันกอบกู้เอกราชไทย” 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนได้

#วันกอบกู้เอกราชไทย

.

ย้อนวันนี้ในอดีต เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเรื่องราวในครั้งนั้นเป็นการรวบรวมกองกำลังเพื่อขับไล่กองทัพข้าศึก ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง

.

ตามหลักฐานการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เวลาประมาณบ่ายสามโมง กองทัพข้าศึกได้จุดไฟสุมรากกำแพงเมืองบริเวณหัวรอริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าในพระนคร จากบรรดาค่ายของข้าศึกที่รายล้อมอยู่รอบนอกทุกค่าย เมื่อพลบค่ำกำแพงเมืองจุดที่ถูกไฟสุมได้ทรุดลง เวลาประมาณ 2 ทุ่ม แม่ทัพข้าศึกจึงยิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารบุกเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน ข้าศึกใช้บันไดปีนพาดเข้ามาได้จากจุดที่กำแพงทรุดนั้นก่อน

.

ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่ไม่เหลือกำลังที่จะสามารถต่อสู้ได้ เป็นเหตุให้ข้าศึกสามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว กองทัพข้าศึกได้ตั้งค่ายพักอยู่ถึงวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2310 ก่อนจะรวบรวมเชลยและทรัพย์สมบัติ ยกทัพกลับ

.

กระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา โจมตีข้าศึกที่เหลือ ณ เมืองธนบุรี ทรงยึดเมืองธนบุรีคืนได้และประหารนายทองอินไส้ศึกคนไทย แล้วทรงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบข้าศึกจนราบคาบ และกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 เวลาประมาณ 13.00 น. รวมพระองค์ทรงใช้เวลา 7 เดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในการทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้สำเร็จ

.

ที่มา : https://www.finearts.go.th/literatureandhistory/

.

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/

รถไฟลอยน้ำ

เที่ยวปฐมฤกษ์ ขบวนรถพิเศษนำเที่ยวที่"921"กรุงเทพฯ-เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

.

วันนี้ (5 พ.ย.65) ขบวนที่ "921" ออกจากสถานีกรุงเทพฯ ล่าช้า 90 นาที

.

เนื่องจาก.ตู้JR บนท.ป.115-201 มีปัญหาจึงทำการแก้ไขและเปลี่ยนตู้แทนทำให้ขบวนรถที่ "921" ออกจากสถานีกรุงเทพ ได้ในเวลา 07.30 นาที รอบนี้นักท่องเที่ยวมาเต็มขบวน

ศูนย์สาธิตฯ แหล่งท่องเที่ยวในค่ายทหาร

ศูนย์สาธิตฯ แหล่งท่องเที่ยวในค่ายทหาร 
.
สืบสานเศรษฐกิจพอเพียง  
.
กิจกรรมดีๆ เพื่อน้องๆนักเรียน ผู้ปกครองและคุณครู รร.วัดใหม่สำโรงและ รร.วัดโพยทราย 
.
ในกิจกรรมฝึกศึกษาเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้น้องๆ ได้รับความรู้และประสบการณ์ การสังเกต การมีส่วนร่วม อาทิ การเพราะปลูก การทำปุ๋ย ชมแปลงผักปลอดสารพิษ ฯลฯ
.
ให้เขตทหารเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนครับ  
.
แหล่งที่มา: https://web.facebook.com/ArmyFarmProject
.
#ArmyFarm
#สืบสานรักษาต่อยอด 
#ค่ายสุรนารี
#กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่21
 

สำนักพระราชวัง ขอแจ้งปิดการเข้าชม พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป

สำนักพระราชวัง ขอแจ้งปิดการเข้าชม พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป
.
( วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 ) สำนักพระราชวัง ขอแจ้งปิดการเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันอาทิตย์ ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป เนื่องจากมีการซักซ้อมพิธีต้อนรับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) และคู่สมรส ในโอกาสที่จะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
.
ที่มา:https://royaloffice.th/2022/11/05/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AF-06-11-65/
 

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery ทั้งโดนัท ผัดไทย ไก่ป๊อป เกี๊ยวซ่า ที่คุณต้องลอง แวะมาชิมที่ร้านได้ หรือจะมาเลือกซื้อสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิดก็ได้เช่นกัน

ร้านตั้งอยู่  ริมถนนสุขุมวิท 51 เปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน เดินทางได้ทั้งรถสาธารณะ รถส่วนตัว ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

ไทย ร่วมมือ เกาหลีใต้ เตรียมสร้างสถานีปล่อยยานอวกาศ (Spaceport)

4 พ.ย.2565- นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารจากกระทรวง อว.และ ดร.วิชชุ เวชชาชีวะ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล เข้าเยี่ยมคารวะและหารือกับ นายลีจองโฮ (Mr. Lee Jong Ho) รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยเมื่อเริ่มการเจรจา โดยนายเอนก ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่อิแทวอน กรุงโซล และขอแสดงความไว้อาลัยต่อการสูญเสียแก่สาธารณรัฐเกาหลี มายังนายลีจองโฮมา ณ โอกาสนี้

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า หลังการหารือ นายเอนก เปิดเผยว่า ตนและนายลีจองโฮ ได้ตกลงร่วมกันในการสร้างร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นการสร้างกำลังคนสมรรถนะสูงและการสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า ใน 5 ประเด็นสำคัญ คือ

1. งานทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ โดยจะเน้นความร่วมมือทางด้านการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการสร้างเศรษฐกิจและระบบนิเทศทางด้านอวกาศ ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ 

2. การเจรจาหารือเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีใต้ถึงเรื่องการสร้างสถานีปล่อยยานอวกาศ (Spaceport) โดยประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการสร้างและมีความร่วมมือร่วมกันต่อไป 

3. งานทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเกี่ยวกับทางด้านการแพทย์ ซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านการบริการการแพทย์เป็นเลิศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเกาหลีใต้มีความโดดเด่นทางด้านแพลตฟอร์มของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยประเทศไทยและเกาหลีใต้ สามารถที่จะมีความร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีในอนาคต 

4. งานทางด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เน้นการสร้างองค์ความรู้ขั้นแนวหน้า ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน เพื่อร่วมมือกันสร้างและใช้ประโยชน์ จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

5. งานทางด้านการจัดการกับปัญหาภาวะเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยเน้นการพัฒนางานวิจัยขั้นแนวหน้า เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหา และในอนาคตไทยและเกาหลีใต้ ยังมีแผนในการสร้างความร่วมมือกันต่อไป

“ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานเชื่อมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเกาหลีใต้ โดย รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศตอบรับถึงความพร้อมของสาธารณรัฐเกาหลีที่จะร่วมมือในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” รมว.อว.กล่าว

ที่มา: https://www.thaipost.net/education-news/256317/
 

แอมะซอนทุ่ม 1.9 แสนล้าน ดันไทยสู่ผู้นำดิจิทัลเอเชีย

AWS ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในไทย มูลค่ามากกว่า 5 พันล้าน ดอลลาร์ หรือ 1.9 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 15 ปี ด้วยการเปิดตัว Region แห่งใหม่ ที่มีชื่อว่า AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) 

แอมะซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. ประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ ด้วยการเปิดตัว Region ในประเทศไทย ที่จะมีชื่อว่า AWS Asia Pacific (Bangkok)

โดย Regionแห่งใหม่นี้จะประกอบด้วย Availability Zone สามแห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก และ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย อิสราเอล นิวซีแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย

AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทยจะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้

นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี

นายปราสาท กัลยาณรามัน รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS เผยว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศและการนำเสนอบริการใหม่ๆ ที่รวดเร็ว

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพทั้งหมดของคลาวด์เพื่อเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานและนำเสนอบริการต่างๆ

AWS Asia Pacific (Bangkok) region จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากบริการที่หลากหลายและเชี่ยวชาญของ AWSเช่น แมชชีนเลิร์นนิ่ง การวิเคราะห์ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง ด้วยเครื่องมือใหม่เหล่านี้ AWS ยังช่วยให้ลูกค้าภาครัฐสามารถมีส่วนร่วมกับพลเมืองได้ดียิ่งขึ้น องค์กรต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเติบโตในระยะต่อไป รวมถึงสร้างธุรกิจและแข่งขันในระดับโลก

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า แผนของ AWS ในการสร้างศูนย์ข้อมูลหรือดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทยถือเป็นก้าวสําคัญที่จะนำบริการการประมวลผลบนระบบคลาวด์ขั้นสูงมาสู่องค์กรจำนวนมากขึ้น และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีมูลค่า

“รัฐบาลไทยยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ระดับโลกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมาสู่ประเทศไทย การลงทุนของ AWS จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงอีกด้วย”

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวว่า AWS Region ในประเทศไทยจะช่วยภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐในการให้บริการดิจิทัลที่ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

สำหรับดีอีเอสได้ทํางานร่วมกันเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาครัฐ โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมให้ทันสมัยเพื่อปรับปรุงการดําเนินงาน การลงทุนของ AWS จะทําให้ประเทศก้าวเข้าใกล้อนาคตดิจิทัลมากขึ้นอีกขั้น

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทย กล่าวว่า AWS เอเชียแปซิฟิค (กรุงเทพฯ) รีเจี้ยนจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศ ไปพร้อม ๆ กับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

“บริการคลาวด์เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สําคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัล เรายินดีกับแผนของ AWS ในการสร้าง region ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยพัฒนาจุดยืนของเราในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในเอเชีย และเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนําสําหรับการลงทุน"

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

สื่อสิงคโปร์ยังยอมรับ อินเตอร์เน็ตไทยคุณภาพสูง-ศก.ดิจิทัล โตไว

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 Technode Global สื่อเทคโนโลยี IT ของสิงคโปร์ รายงานว่า บริษัท HGC Global Communications Limited (HGC) บริษัท AMS-IX (Amsterdam Internet Exchange) และบริษัท International Gateway Company Limited (IGC) ร่วมกันก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Internet Exchange) ในประเทศไทย
.
บริษัท HCG จากเกาะฮ่องกง บริษัท AMS-IX จากประเทศเนเธอร์แลนด์ และ IGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) เป็นเครือข่ายธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่ริเริ่มธุรกิจเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตของไทย โดยสื่อ IT สิงคโปร์ระบุว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีคุณภาพอีกแห่งหนึ่งของเอเชีย อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตที่สำคัญเทียบเท่าสิงคโปร์และฮ่องกง
.
Technode Global ยังระบุอีกด้วยว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทย ที่พร้อมรองรับการขยายและพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC จึงทำให้กรุงเทพมหานคร กลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเป็นเกตเวย์เชื่อมต่อไปยังกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS - The Greater Mekong Subregion) ซึ่งจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเกือบ 250 ล้านคน จะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในราคาที่ประหยัด และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกด้วย
.
ทั้งนี้ ข่าวความร่วมมือระหว่างบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC ในการก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงานข่าวเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า บริษัทกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) และบริษัทอเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS - Amazon Web Services) ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนก่อตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย อันแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

แหล่งข่าว
- https://technode.global/.../hgc-ams-ix-and-igc-launch-a.../
- https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9650000103347
- เพจ Thailand Vision

รัฐบาล จับมือ สถาบันการศึกษา ร่วมเดินหน้าอุตสาหกรรมหุ่นยนต์

เมื่อวันที่ 4 พ.ย.นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับความสามารถด้วยนวัตกรรมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียนโดยมุ่งเน้นการผลิตหุ่นยนต์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร

 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในเรื่องนวัตกรรมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ได้รับการขับเคลื่อนที่ดีจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นเจ้าภาพสนับสนุนการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก รายการ World Robo Cup 2022, BangKok, Thailand เพื่อส่งเสริมผลักดันในการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์และการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกลงทะเบียนมากว่า 3,000 คน จาก 45 ประเทศทั่วโลก ร่วมนำหุ่นยนต์ในหลากหลายโซลูชั่นเข้าร่วมการแข่งขัน และเยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันฯ จนได้รับรางวัลหลายรายการ

 

ซึ่งนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ได้นำคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 จาก 6 สถาบัน เข้าพบพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยนายกฯ เน้นให้พัฒนาขีดความสามารถผลิตหุ่นยนต์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและความมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดผลเป็นรูปธรรม และสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้

 

โดยให้ประสานความร่วมมือและบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม รวมทั้งการนำความรู้ไปต่อยอดพัฒนาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในอนาคต ตลอดจนพัฒนาศักยภาพไปสู่การเป็น Start up เพื่อเพิ่มมูลค่า สามารถสร้างอาชีพและรายได้ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย

 

นายอนุชาฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาไทยหลายแห่ง สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต โดยประเทศไทยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาและศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรมากมาย เช่น สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) สมาคมหุ่นยนต์ไทย (TRS) และสมาคมอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) ที่จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทยให้ก้าวหน้าและเติบโตไปในอนาคต ปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพด้านหุ่นยนต์ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต และมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้เติบโตมากกว่าในด้านการแข่งขัน หรือเพียงต้นแบบที่พัฒนากันอยู่ในปัจจุบัน

 

โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ด้วยการยกเว้นการเก็บภาษี Capital Gains Tax เป็นเวลา 10 ปีแก่นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ภายใต้ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top