Wednesday, 15 May 2024
THE STUDY TIMES

รัฐบาล จับมือ สถาบันการศึกษา ร่วมเดินหน้าอุตสาหกรรมหุ่นยนต์

เมื่อวันที่ 4 พ.ย.นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับความสามารถด้วยนวัตกรรมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียนโดยมุ่งเน้นการผลิตหุ่นยนต์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร

 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในเรื่องนวัตกรรมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ได้รับการขับเคลื่อนที่ดีจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นเจ้าภาพสนับสนุนการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก รายการ World Robo Cup 2022, BangKok, Thailand เพื่อส่งเสริมผลักดันในการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์และการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกลงทะเบียนมากว่า 3,000 คน จาก 45 ประเทศทั่วโลก ร่วมนำหุ่นยนต์ในหลากหลายโซลูชั่นเข้าร่วมการแข่งขัน และเยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันฯ จนได้รับรางวัลหลายรายการ

 

ซึ่งนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ได้นำคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 จาก 6 สถาบัน เข้าพบพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยนายกฯ เน้นให้พัฒนาขีดความสามารถผลิตหุ่นยนต์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและความมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดผลเป็นรูปธรรม และสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้

 

โดยให้ประสานความร่วมมือและบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม รวมทั้งการนำความรู้ไปต่อยอดพัฒนาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในอนาคต ตลอดจนพัฒนาศักยภาพไปสู่การเป็น Start up เพื่อเพิ่มมูลค่า สามารถสร้างอาชีพและรายได้ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย

 

นายอนุชาฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาไทยหลายแห่ง สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต โดยประเทศไทยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาและศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรมากมาย เช่น สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) สมาคมหุ่นยนต์ไทย (TRS) และสมาคมอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) ที่จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทยให้ก้าวหน้าและเติบโตไปในอนาคต ปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพด้านหุ่นยนต์ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต และมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้เติบโตมากกว่าในด้านการแข่งขัน หรือเพียงต้นแบบที่พัฒนากันอยู่ในปัจจุบัน

 

โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ด้วยการยกเว้นการเก็บภาษี Capital Gains Tax เป็นเวลา 10 ปีแก่นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ภายใต้ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เป็นต้น

จุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ช่วยลดไขมัน ลดอักเสบ ชะลอวัย

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2565 ที่่ผ่านมา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ได้ลงนามสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีและอนุญาตให้ใช้สิทธิ ผลงานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาสายพันธุ์ของ รองศาสตราจาร์ ดร.มาลัย ทวีโชติภัทร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ และคณะนักวิจัย ให้กับบริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ กระตุ้นการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกไทย ลดการนำเข้าโพรไบโอติกจากต่างประเทศ และเพิ่ม GDPให้ประเทศไทยได้ดุลการค้าจากโพรไบโอติกสู่การต่อยอดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลสุขภาพของคนไทยและลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในอนาคต

 

นางนพรัตน์ สุขสราญฤดี ผู้ก่อตั้ง บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัดกล่าวว่า จากความร่วมมือในการลงนามสัญญากับทาง มศวเพื่อใช้สิทธิข้อมูลเทคโนโลยี จุลินทรีย์โพรไบโอติก (probiotics) สายพันธุ์Lactobacillus paracasei MSMC 39-1ซึ่งเป็นผลงานจากคณะนักวิจัยของ มศว ในปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์วิโนน่าและได้มีการเปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายไปเมื่อต้นปี. 2565 นับว่าประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค

 

เนื่องจากผลลัพธ์จากการบริโภคที่เห็นผลในแง่ของสุขภาพที่ดีขึ้นในหลายระบบ โดยไม่ต้องใช้ยา อาทิเช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ต้านอักเสบปรับภูมิคุ้มกัน ลดสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น ทำให้เชื่อมั่นต่อความสามารถของนักวิจัยไทยและเชื่อมั่นในคุณภาพของจุลินทรีย์ โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ในโอกาสนี้ วิโนน่า ในฐานะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยังคงมีเจตนารมณ์ร่วมกับคณะนักวิจัยของ มศว ที่อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพร่างกายที่สมดุล สมบูรณ์แข็งแรง ด้วยการบริโภคจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงเกิดความร่วมมือครั้งใหม่ในการลงนามเพื่อรับไลเซนส์เพื่อใช้ผลงานจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalisTA-1สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะช่วยสร้างสมดุลแก่สุขภาพในระยะยาวแก่ผู้บริโภค ตามเจตนารมณ์ของแบรนด์วิโนน่าที่อยากช่วยให้คนไทยหลีกเลี่ยงการพึ่งพายา และลดสารเคมีเข้าในร่างกายเกินความจำเป็น

 

ด้วยเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันทำให้ในภาคอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทยมีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆที่สนใจในการนำจุลินทรีย์โพรไบโอติกมาพัฒนาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เชื้อจุลินทรีย์ โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย นอกจากจะช่วยเพิ่มดุลการค้าและลดการนำเข้าจากต่างประเทศ แล้วจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ซึ่งได้พัฒนาและทดสอบกับคนไทย จึงมีความคุ้นเคยกับคนไทยมากกว่า จึงมีศักยภาพและขีดความสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และยังสามารถนำสายพันธุ์ของเราขยายตลาดไปยังกลุ่มเอเซียแปซิฟิกได้อย่างแน่นอน”นางนพรัตน์กล่าว

 

รศ. ดร.สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท วิโนน่า เฟมินิน จำกัด ในฐานะพันธมิตรจากภาคเอกชนได้เข้ามาร่วมมือกับ มศว ในการลงนามสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยีและอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 โดย มศว มีนโยบายการส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม


อันเกิดจากองค์ความรู้ที่มีประโยชน์โดยการพัฒนาและทดลองของคณะนักวิจัย ซึ่งการเข้ามามีบทบาทของภาคเอกชนจะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้ ที่ได้จากการวิจัยนั้นไม่สิ้นสุดเพียงแค่เป็นผลงานวิจัย เพราะด้วยศักยภาพด้านธุรกิจ อุตสาหกรรมและกลยุทธ์ทางการตลาดของภาคเอกชนนั้นจะช่วยผลักดันให้งานวิจัยขยายสู่ความเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้และมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์


จากผลงานวิจัยจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถไปถึงมือผู้บริโภคยิ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นการขยายขีดความสามารถในแข่งขันแก่สถาบันระดับอุดมศึกษาและในภาคอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วย

 

ด้าน รศ. ดร.มาลัย ทวีโชติภัทร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในฐานะเจ้าของผลงานวิจัยเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกกล่าวว่า “เชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ Bifidobacterium animalis TA-1 เป็นจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ที่มีการพิสูจน์คุณสมบัติแล้วว่าเป็นโพรไบโอติกที่ดี และได้รับการอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย. ) ซึ่งผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่ได้มาตรฐานเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่ามีคุณสมบัติจำเพาะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย แม้จะพบว่ามีคุณสมบัติเด่นในการลดไขมันและคอเลสเตอรอล เป็นสายพันธุ์ที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยนั้นสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียง เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ โพรไบโอติก ไม่ใช่ยาหรือสารเคมี หากแต่เป็นสารอาหารตามธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราหากบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อเติมสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวม


รศ.ดร.มาลัย กล่าวว่า ส่วนตัวได้สนใจศึกษาจุลินทรีย์มาเป็นเวลา 20ปี ซึ่งในการทำงาน กว่าจะคัดได้สายพันธุ์ที่บริสุทธิ์ จากกว่าพันสายพันธุ์ ต้องผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ โดยใช้เวลานาน 15ปี ในการทดลองวิจัย ซึ่งก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุลินทรีย์ พวกโพรไบโอติกต่างๆ จะเป็นการนำเข้า ไม่ใช่จุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย เพราะจุลินทรีย์แต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและอาหารที่กิน ที่แต่ละชาติจะมีความแตกต่างกัน ส่วนประโยชน์ของจุลินทรีย์ในภาพรวมมีมากมาย ซึ่งคนเราจะมีจุลินทรีย์ที่แมให้มา ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนเด็กๆ ที่เยอะมาก แต่จุลินทรีย์เหล่านี้จะค่อยๆลดลงเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเหลือน้อยลงเรื่่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น เราจึงต้องเพิ่มจุลินทรีย์ในร่างกายเข้าไป เพื่อเป็นการป้องกัน เพิ่มภูมิในร่างกาย ซึ่งดีกว่าการใช้ยา เพราะยาใช้ไปนานๆอาจดื้อยาได้


แรงบันดาลใจพัฒนาจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย มาจากปัญหาสุขภาพของคนไทย ที่มีคนที่เป้นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD เยอะมากทั้งความดัน เบาหวาน ซึ่งจุลินทรีย์ที่ศึกษา เราศึกษาโมเดล พวกอ้วนลงพุง โรคสะเก็ดเงิน และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งสองโรคหลังนี้ปัญหาพื้นฐานมาจากการอักเสบในร่างกาย ซึ่งจุลินทรีย์ โพรไบโอติกส์ ของเรา มีคุณสมบัติช่วยลดไขมัน ลดคลอเรสเตอรอล ลดการเกิดการอักเสบ มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ และชะลอวัย “


ในแง่การบริโภคจุลินทรีย์ รศ.ดร.มาลัยกล่าวว่า สำหรับคนร่างกายปกติ ไม่ได้เป็นกลุ่มที่เป็นมะเร็งและกำลังให้คีโม หรือพวกต้องกินยากดภูมิ สามารถรับประทานได้ โดยจุลินทรีย์ที่ได้รับ จะไม่ส่งผลกระทบกับตับ เพราะเป็นสิ่งที่มาจากร่างกายของเราเอง และช่วยในเรื่องการขับถ่าย การนอนหลับ

 

โพรไบโอติกสายพันธุ์ที่เราพัฒนานี้ ได้มอบให้เอกชน 7 บริษัท นำไปพัฒนาต่อยอดกลายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทยเป็นสารตั้งต้น ขึ้นกับความถนัด เชี่ยวชาญของแต่ละบริษัท ซึ่งรวมถึงบริษัท วิโนน่า ฯ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้หญิง” รศ.ดร.มาลัยกล่าว.

 

แหล่งที่มา : https://www.thaipost.net/education-news/255274/

ไม่ใช่แฟน ทำแทนได้ 5 เทรนด์ AI ปี 2023 ทดแทนความสามารถมนุษย์

Marketingoops เผย 5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาจนสามารถทดแทนความสามารถของมนุษย์ได้หลายๆ เรื่องกันเลยทีเดียว

.

1. AI จะต่อยอดศักยภาพให้ 5G

การสื่อสารแบบ 5G เมื่อมาเชื่อมต่อกับ AI จะทำให้นวัตกรรมล้ำยุคต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ กล้องวีดีโอสตรีมมิ่งเรียลไทม์ความละเอียดสูง โดรนควบคุมระยะไกล ฯลฯ

.

2. AI จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้

ความกดดันทางธุรกิจอันเกิดจากความผันผวนทางเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ด้วย AI ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งการคาดการณ์การคำนวณสิ่งที่จำเป็นและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

.

3. AI ช่วยลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงปัญหา

ปัญหาของโลกยุคใหม่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น แต่ AI จะช่วยคำนวณ การลดต้นทุน และคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง

.

4. AI จะเข้ามาทำงาน Customer Care มากขึ้น

การพัฒนาของ AI ในงานด้าน Customer Care พัฒนาอย่างรวดเร็วมาก จนคาดการณ์ได้ว่า ภายในปี 2023 จะสามารถทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้ และอาจแนบเนียนจนแยกไม่ออก

.

5. AI ให้ความมั่นในเรื่องความปลอดภัย

ข้อมูลส่วนบุคคลและความลับทางธุรกิจคือสิ่งที่ AI สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า จะปลอดภัยจากภัยไซเบอร์ต่าง ๆ อย่างแน่นอน

.

ที่มา: Marketingoops

กรมบัญชีกลางอัปเดตการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

กรมบัญชีกลางอัปเดตการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

.

ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดไม่ได้และไม่สะสมในเดือนถัดไป)

.

-วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน

.

-ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (25 ต.ค.-ธ.ค. 2565)

.

-บขส. 500 บาทต่อเดือน

.

-รถไฟ 500 บาทต่อเดือน

.

-ค่ารถไฟฟ้า (MRT-BTS-ARL)  / ขสมก 500 บาทต่อเดือน

.

ทุกวันที่ 18 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไป)

.

-เงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน)

.

-เงินคืนค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)

.

ทุกวันที่ 22 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไป)

.

-เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ)

 

กระทรวงแรงงาน เตรียมส่งเยาวชนไทย ฝึกงานญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานเตรียมรับสมัครและสอบคัดเลือก 21 พฤศจิกายนนี้

กรมการจัดหางานเตรียมรับสมัครและสอบคัดเลือกคนไทยไปฝึกงานประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM Japan ประจำปี 2566  เปิดศูนย์สอบกรุงเทพฯ ชลบุรี อุดรฯ ลำปาง เป้าหมาย นักศึกษา คนหางาน วุฒิม.6/ ปวช./ปวส

.

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน และองค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติ ประเทศญี่ปุ่น (IM Japan) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในการดำเนินการจัดส่งผู้ฝึกงานเทคนิคคนไทยไปฝึกงานเทคนิคในสถานประกอบการของประเทศญี่ปุ่น โดยกำหนดให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการรับสมัครฯ การจัดฝึกอบรมก่อนเดินทาง และการส่งผู้ผ่านการฝึกอบรมจากประเทศไทยไปฝึกงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกรมการจัดหางานได้อนุมัติแผนการรับสมัครและสอบคัดเลือกฯ ประจำปี 2566 โดยกำหนดการรับสมัครและสอบคัดเลือก จำนวน 4 ครั้ง ณ ศูนย์สอบจังหวัดอุดรธานี ลำปาง ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร

.

การเป็นผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคฯ ผ่านองค์กร IM Japan ถือเป็นทางเลือกและการสร้างโอกาสของคนหางาน โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังจะเรียนจบม.6 ปวช. หรือปวส. เพราะเป็นโอกาสที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศและสร้างรายได้ไปพร้อมกัน โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคฯ จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนแรก จำนวน 80,000 เยน หรือประมาณ 20,480 บาท ค่าที่พัก ค่าน้ำ-ค่าไฟ ฟรี เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 36 จะได้ค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายญี่ปุ่นกำหนด และเมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติงานครบ 3 ปี จะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน รวมทั้งเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพ จำนวน 600,000 เยน หรือประมาณ 153,596 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565)”

.

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การสอบคัดเลือกจะมีการสอบข้อเขียน ด้านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ด้านช่าง และภาษาญี่ปุ่น การทดสอบสมรรถภาพร่างกายและสอบสัมภาษณ์ เพื่อทดสอบทัศนคติ บุคลิกภาพ การปรับตัว และวุฒิภาวะทางอารมณ์ สำหรับคุณสมบัติผู้สมัครต้องเป็นเพศชายอายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 30 ปีบริบูรณ์ จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือเทียบเท่าประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ไม่จำกัดสาขาวิชา พ้นภาระการรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ไม่มีรอยสักหรือความผิดปกติทางร่างกาย ไม่มีความประพฤติเสียหาย ไม่เคยเป็นผู้ไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่า “Technical Intern” ไม่เคยทำงานหรือเข้าเมืองหรือพำนักอาศัยโดยผิดกฎหมายทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ไม่เคยเป็นผู้ผ่านการคัดเลือกและถูกตัดสิทธิออกจากการฝึกอบรมก่อนเดินทางไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่น มีความสูงไม่ต่ำกว่า 160 เซนติเมตร น้ำหนักได้สัดส่วนกับส่วนสูง สุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ สายตาปกติ ไม่บอดสี ไม่เป็นโรคต้องห้ามเข้าประเทศญี่ปุ่น และสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการฝึกอบรมในประเทศไทยและระหว่างการฝึกงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นได้

.

สำหรับ การรับสมัครและคัดเลือก จะเปิดรับสมัครผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการดังนี้

.

ครั้งที่ 1 รับสมัครระหว่างวันที่ 21 – 25 พฤศจิกายน 2565 เพื่อสอบคัดเลือก ณ ศูนย์สอบจังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่24 – 25 ธันวาคม 2565

.

ครั้งที่ 2 รับสมัครระหว่างวันที่ 23 – 27 มกราคม 2566 เพื่อสอบคัดเลือก ณ ศูนย์สอบจังหวัดลำปาง ระหว่างวันที่ 25 -26 กุมภาพันธ์ 2566

.

ครั้งที่ 3 รับสมัครระหว่างวันที่ 17 – 21  เมษายน 2566 เพื่อสอบคัดเลือก ณ ศูนย์สอบจังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 20 -21 พฤษภาคม 2566

.

ครั้งที่ 4 รับสมัครระหว่างวันที่ 26 - 30  มิถุนายน 2566 เพื่อสอบคัดเลือก ณ ศูนย์สอบกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 22 -23 กรกฎาคม 2566

.

ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ทางเว็บไซต์ doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0 2245 9428 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สายด่วน กระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

 

ร้าน alt.Eatery ช้อป ชิม ชิว รักษ์โลกและสุขภาพดี ด้วย Plant-based

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์รวมถึงเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเพราะกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน โดยมีผลสำรวจของ Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า "เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based" 

สำรวจเมื่อ ค.ศ. 2021 เปรียบเทียบกับ ค.ศ. 2022 ล่าสุด ผลปรากฏว่ามีเหตุผลในสามอันดับแรกไม่ต่างกัน ได้แก่ ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น ตามด้วย ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย ส่วนประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทย โดยบริษัท Euromonitor and Allies ประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ธุรกิจอาหาร Plant-based จึงกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ในการรักษ์โลกใบนี้เท่านั้นแต่ยังตอบโจทย์เรื่องเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอีกด้วย

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร พูดคุยถึงธุรกิจ “Life Science” อาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า “ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ mini mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ appetizer, main, ของหวาน และโซน mini mart มีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย อธิบายต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยรักษ์โลกอีกด้วย เราไม่ได้ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว เราให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ด้วย เพราะมองว่าทุกจุดคือความยั่งยืน เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย ทุกจุดเราสนใจความยั่งยืนมาก”

ส่วนคำถามที่ว่า Plant-based มีความแตกต่างกับอาหารในปัจจุบันอย่างไร คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลยก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น”

ส่วนจุดเด่นของร้าน alt.Eatery คืออะไร คุณพลอยกล่าวว่า “คือเรื่องราคา เพราะราคาเป็นหนึ่งใน Pain Point ที่สำคัญมาก สินค้า Plant-based โดยทั่วไปมีราคาสูง เราอยากให้มาลอง เลยทำราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาท ส่วนเรื่องของรสชาติ เราได้เชฟชั้นนำ อย่างเชฟใบเตย เชฟชื่อดังจากรายการ Top Chef Thailand ขนมหวาน มาทำขนมหวานและเชฟท่านอื่นๆ มาปรุงเมนูอาหารสูตรเด็ด เพราะเราอยากลองว่าถ้าปรุงโดยฝีมือเชฟ คนทานจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเราได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันร้าน alt.Eatery ไม่เคยโฆษณาเลยว่าเป็นวีแกน หรือเป็น Plant-based ลูกค้าที่เดินเข้ามาที่ร้านเห็นตู้โดนัทแล้วอยากลองทาน เห็นผัดไทย เบอร์เกอร์แล้วชอบ มาลองดูดีกว่า ส่วนใหญ่ก็จะประหลาดใจว่าเป็น Plant-based เหรอแต่รสชาติอร่อยมาก มีลักษณะแบบนี้เยอะมาก เราดีใจที่คนเริ่มเปิดใจและรับรู้มากขึ้นว่าไม่ใช่อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ แต่เป็นอาหาร Plant-based ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดของร้าน alt.Eatery ถ้าเป็นของหวาน ก็คือ โดนัท ส่วนของคาวก็คือ ผัดไทย ไก่ป๊อป และเกี๊ยวซ่า”

ท้ายสุดนี้คุณพลอยเชิญชวน ให้มาลองทานอาหารหรือช้อปสินค้าจากผู้ประกอบการ Plant-based ที่ร้าน alt.Eatery ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 51 “เรื่องเมนูอาหารในอนาคตจะมีเมนูใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแน่นอน เช่น Plant-based เนื้อปู สำหรับร้านเราเปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน มีหลายคนถามว่าที่ตั้งใจกลางเมืองขนาดนี้เอาที่ไปทำที่จอดรถทำไม เพราะเราอยากบริการทุกคนให้สะดวกสบาย เดินทางได้ทุกรูปแบบทั้งรถสาธารณะ และรถส่วนตัว เพื่อให้มาที่ร้าน alt.Eatery ได้ง่ายขึ้น”


ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

เพจ:https://web.facebook.com/alt.Eatery/?_rdc=1&_rdr

รัฐให้ทุนวิจัย สร้างนวัตกรรม ดันธุรกิจ Deep Tech Startup

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งเดินหน้าให้การสนับสนุนธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech Startup) โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน บูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์ฯขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มุ่งเน้นยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้ให้ทุนวิจัยมหาวิทยาลัยและองค์กร  10 แห่ง 11 แพลตฟอร์ม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ได้จัดกิจกรรมนำเสนอผลงานภายใต้โครงการ “แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก” (NSTDA Deep Tech Acceleration Platform) โดยเปิดรับสมัครผลงานวิจัยเชิงลึก ที่มีการประเมินความพร้อมของงานวิจัยและเทคโนโลยี (Technology Readiness Level: TRL) ไม่น้อยกว่าระดับ 4 และมีศักยภาพทางด้านการตลาดใน 3 กลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ Food Technology, Healthcare Technology และ Internet of Things โดยในปีนี้มีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการจำนวน 22 ทีม ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ของ สวทช. ซึ่งเป็น Ecosystem ที่เหมาะสมและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ทั้งนี้ โครงการแพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก ถือเป็นการติดอาวุธให้กับผู้ประกอบการ นักวิจัยในมหาวิทยาลัยและใน สวทช. ให้มีความสามารถในทางธุรกิจและการตลาดมากขึ้น เห็นช่องทางการนำผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ไปสู่เชิงพาณิชย์ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างขีดความสามารถให้ประเทศไทย และเพิ่มขีดความสามาถในการแข่งขันได้เร็วและแข็งแกร่งในระดับนานาชาติ

“รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการขับเคลื่อน ผ่านการสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ โดยการสนับสนุนเครื่องมือ บุคลากร และบริการต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับ สร้างความเข้มแข็งให้กับ SME และ Startup และสร้างความพร้อมที่จะนำผลงานวิจัย Deep technology ออกไปใช้ประโยชน์จริงและสร้างผลในเชิงเศรษฐกิจและสังคม” น.ส.รัชดา กล่าว

สุดยอด ! นักเรียนอัสสัมชัญลำปาง ร่วมแข่งโอลิมปิกหุ่นยนต์ที่เยอรมันฯ

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 2 พ.ย. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องรับรอง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดลำปาง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พบปะและให้กำลังใจผู้ควบคุมทีม ผู้ฝึกสอน และนักเรียนของโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ (WRO2022) ซึ่งเป็นเวทีให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพด้านการออกแบบและเขียน โปรแกรมหุ่นยนต์ ณ สนามแข่งขันห้องเอ็มซีซีฮอลล์ จ.นครราชสีมา  และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปชิงแชมป์การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ กับคู่แข่งกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ณ เมืองดอร์ทมุนด์  สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 15-21 พ.ย. 2565 นี้

 

สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ (WRO 2022: World Robot  Olympiad  2022) ระดับชิงแชมป์ประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 11 ก.ย.2565 ที่ผ่านมา ณ สนามแข่งขันห้องเอ็มซีซีฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช  ซึ่งโครงการ ฯ ดังกล่าวนับว่า เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  เพื่อพัฒนาศักยภาพของ เยาวชนไทยให้ก้าวไกลต่อไปในอนาคตตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 ในการพัฒนาวิทยาการ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยพัฒนา

 

สำปรับการ"แข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ สนามพิเศษ ประจำปี 2565” โดยหัวข้อการแข่งขันประเภท ROBOMISSION คือ My Robot, My Friend มีจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 210 ทีม แบ่งเป็น 3 รุ่น ดังนี้ 1.รุ่นอายุไม่เกิน 12 จำนวน 70 ทีม 2.รุ่นอายุไม่เกิน 15 จำนวน 70 ทีม และ 3. รุ่นอายุไม่เกิน 19 จำนวน 70 ทีม โดยผู้ชนะในแต่ละรุ่น จะได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฯ ระดับนานาชาติในลำดับต่อไป

 

ซึ่งโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ส่งนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 7 ทีม ได้รางวัล 5 ทีม และได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปชิงแชมป์การแข่งขันโอลิมปิกหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ กับคู่แข่งกว่า 70 ประเทศทั่วโลก จำนวนทั้งสิ้น 4 ทีม ประกอบด้วย รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี จำนวน 2 ทีม และรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี จำนวน 2 ทีม.

ส่องสมอง “ไอน์สไตน์” อัจฉริยะที่ต้องเอาสมองมาวิจัย

สำหรับอัจฉริยะอย่าง “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์”  ไม่แปลกที่นักวิทยาศาสตร์ทั่ว ๆ ไป จะตั้งข้อสงสัยถึง “สิ่งที่คั่นระหว่างหู” นั่นก็คือ “สมอง” ของเขา ว่ามันจะมีอะไรพิเศษไปกว่าปกติหรือไม่ ?  จนก่อให้เกิดเหตุการณ์นำเอาสมองของเขามาศึกษาและคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ มากมาย 

 

ไอน์สไตน์เสียชีวิตในปี 1955 ที่โรงพยาบาลพรินซ์ตัน ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สมองของเขาถูกนำเอามาวิจัยโดยนักพยาธิวิทยา ชื่อ “โธมัส ฮาร์วีย์” (ไปเอาสมองจริงๆ ออกมาจากหัว “ไอน์สไตน์” ช่างใจร้ายจริง ๆ ) เขานำเอาสมองมาเก็บรักษาผ่านกรรมวิธี นำมาถ่ายภาพและวัดขนาด ก่อนจะแบ่งสมองออกเป็น 240 บล็อก (เพื่อตรวจทีละส่วน) แล้วนำแต่ละตัวอย่างในแต่ละบล๊อคมาวางบนสไลด์ของกล้องไมโครสโคป แถมยังส่งต่อสไลด์ไปให้กับนักวิจัยหลายคน ส่วนตัวฮาร์วีย์ เขามีผลงานที่ตีพิมพ์เพียงไม่กี่ชิ้น แถมเป็นนักวิจัยที่ชีพจรลงเท้าสุด ๆ เพราะย้ายที่ทำงานไปทั่วอเมริกา แต่ในทุกที่ ที่เขาไปเขาจะหนีบโหลดองสมองของ “ไอน์สไตน์” ไปด้วยตลอด จนในปี 1998 เขาจึงได้หยุดการย้ายถิ่นฐาน และเสียชีวิตลงในปี 2007 แต่เขาไม่ได้เอาโหลดองลงหลุมไปกับเขาด้วย แต่ได้มอบขวดโหลให้กับศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งขวดโหลใบนี้ก็ยังอยู่ที่ศูนย์การแพทย์ ฯ มาจนถึงทุกวันนี้

 

การศึกษาสมองของไอน์สไตน์ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1999 โดยเป็นผลงานของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแฮมิลตัน ประเทศแคนาดา (ส่งชิ้นส่วนสมองไปไกลแท้พ่อคุณ) นำทีมโดย “แซนดรา วิเทลสัน” นักประสาทวิทยา โดยพบว่ากลีบข้างกระหม่อมของ ไอน์สไตน์” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ภาพ และเชิงพื้นที่นั้นกว้างกว่าปกติ 15% นอกจากนี้ทีมงานยังพบลักษณะผิดปกติอื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถนำมาอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมได้ และที่สำคัญสมองของ Einstein มีน้ำหนักเพียง 1,230 กรัม ซึ่งถือว่าเบากว่าค่าเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

 

ในเวลาต่อมา  “ดีน โฟล์ค” นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา สเตท ในแทลลาแฮสซี ได้ค้นพบร่องรอยที่น่าสนใจเพิ่มเติม โดยเขาได้นำภาพถ่ายสมองของไอน์สไตน์มาเทียบกับสมองจากศพปกติ โฟร์คเขาพบลักษณะผิดปกติที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในสมองของไอน์สไตน์ โดยเฉพาะในส่วนของคอร์เทกซ์ที่ใช้สั่งการควบคุมมือซ้าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเรื่องความสามารถทางดนตรีของเขา (ไม่เกี่ยวกับเรื่องฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์เลยเอาสิ ??? )

 

เช่นเดียวกับทีมก่อนหน้า “โฟล์ค” พบว่ากลีบข้างกระหม่อมของ ไอน์สไตน์” ใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายสมองส่วนคอร์เทกซ์อีก 58 ชุด จากศพคนปกติ (ก็ต่างอีกแหละ) แต่เพิ่มเติมด้วยการระบุรูปแบบร่องสมองที่หายากมากในบริเวณข้างกระหม่อมของสมองทั้งสองข้าง ซึ่งตรงนี้ “โฟล์ค” คาดเดาว่า (ย้ำว่าคาดเดานะ) อาจเกี่ยวข้องกับความอัจฉริยะในด้านฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ ....

 

แต่แท้จริงแล้ว ในช่วงชีวิตของ “ไอน์สไตน์” เขามักจะบอกทุก ๆ คนว่า เขาคิดคำนวณด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ด้วยภาพ จินตนาการ และความรู้สึก พรสวรรค์ของไอน์สไตน์ในฐานะ "นักคิดสังเคราะห์" อาจเกิดจากลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติของคอร์เทกซ์ข้างกระหม่อมของเขา ซึ่ง “โฟล์ค”ได้สรุปรายงานไว้ในหนังสือ Frontier in Evolutionary Neuroscience แต่ทว่า ดีน โฟล์ค” ยอมรับว่าการตีความทั้งหมดยังเป็นเรื่องสมมุติ (เอ้า ??? )

 

มาถึง “มาร์ค แบนเกิร์ต” นักประสาทวิทยาแห่งสถาบันองค์ความรู้และวิทยาศาสตร์ด้านสมอง แม๊กซ์ พลั๊งค์ ในเมืองไลฟ์ซิก ประเทศเยอรมนี ได้กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่เกินจะกล่าวไปมาก ๆ” แต่นี่คือสิ่งที่เราได้จากข้อมูลที่มีอยู่ ภาพถ่ายเก่าบางรูปที่มีอยู่ ก็จะประมาณนี้

 

"เฟรดดิก เลอโพร์ นักประสาทวิทยาแห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโรเบิร์ต วู๊ด จอห์นสัน ในนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวว่า “โฟล์ค” ดูเหมือนจะระบุลักษณะสมองของนักฟิสิกส์ได้อย่างแม่นยำ และมีความสัมพันธ์ระหว่าง "ปุ่มคอร์เทกซ์" ในสมองที่เรียกว่า “มอเตอร์คอร์เทกซ์” ของไอน์สไตน์ โดยเฉพาะในเรื่องของไวโอลินของเขาที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ "โน้มน้าวใจและสร้างความน่าสนใจ" (ไม่เกี่ยวกับฟิสิกส์และคณิตศาสตร์อีกแล้ว !!! )  แต่อย่างไรก็ตาม “เลอโพร์” กล่าวว่าเขา "ไม่สบายใจ" กับข้อสรุปในเรื่องความเป็นอัจฉริยะของ ไอน์สไตน์”  ที่เกิดขึ้นจากกลีบข้างกระหม่อมจนเรียกเขาว่า "อัจฉริยะข้างกระหม่อม" โดยนำเอาหลักฐานอื่น ๆ มาอ้างเพื่อยืนยันอย่างแข็งขันทั้งในเรื่องเกรดสุดยอดมาก ๆ ในวิชาภาษาละติน วิทยาศาสตร์ ศิลปะและภูมิศาสตร์

 

สรุปแล้วความเป็นอัจฉริยะของ “ไอน์สไตน์” น่าจะสรุปได้ว่ามันไม่ได้มาจากกายวิภาคของสมอง แต่น่าจะเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่สร้างความเป็นอัจฉริยะให้เกิดขึ้นกับ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” 

 

ผู้ปกครองมีหนาว ! 'อเล็กซา' บอกพ่อให้ต่อยคอลูก !

พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี สุดช็อก หลัง ‘Alexa’ AI ประจำบ้านของ Amazon ที่เพิ่งได้มา ตอบคำถามถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็ก โดยแนะนำให้เขาต่อยคอลูกเพื่อให้หยุดหัวเราะ แอมะซอนยืนยันรีบลบข้อมูลทันทีที่รู้เรื่อง

 

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 65 ว่า อดัม แชมเบอร์เลน (Adam Chamberlain) พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี จากเชฟฟิลด์ (Sheffield) ตกใจและเปิดเผยต่อสาธารณะหลังพบว่า ‘อเล็กซา’ (Alexa) ซึ่งเป็น AI ประจำบ้านของ Amazon Echo ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมประจำบ้านและเพิ่งได้มาใหม่นั้น ได้แนะนำวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นอันตราย

 

โดย แชมเบอร์เลน ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่เป็นการถามตอบระหว่างเขาและอเล็กซา คุณพ่อวัย 45 ปี ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการทำให้เด็กหยุดหัวเราะ ซึ่งในคลิปเขาถามอเล็กซาว่า “อเล็กซา คุณจะหยุดเด็กๆ จากการหัวเราะได้อย่างไร”และในวิดีโอคลิปพบว่าอเล็กซา ตอบกลับมาว่า

 

“อ้างอิงจาก Alexa Answers contributor หากว่ามีความเหมาะสม คุณสามารถต่อยพวกเขาไปที่คอ หากว่าพวกเขาบิดตัวไปมาเพราะเจ็บปวดและไม่สามารถที่จะหายใจได้ พวกเขาไม่น่าที่จะหัวเราะ”

 

คลิปนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วหลังจากโพสต์ออนไลน์ โดยมีการรับชมกว่า 215,000 ครั้ง และกดไลก์ 21,000 ครั้ง โดยจำนวนมากที่เห็นคลิปนี้แสดงความรู้สึกว่า นี่เป็นคำตอบเอไอที่น่าสยดสยองมาก ขณะที่เขาตัดสินใจโพสต์คลิปบน TikTok เพราะคิดว่ามันตลก

 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า แชมเบอร์เลนอาจทำคลิปนี้ขึ้นมา โดยเซ็ตอัประบบอเล็กซาเพื่อให้มันตอบออกมาเช่นนี้หรือไม่ แต่แชมเบอร์เลนก็ปฏิเสธเสียงแข็งและยืนยันว่า “นี่เป็นคำตอบที่แท้จริงออกมาจากเอไอของแอมะซอนเอง”

 

สื่อ LADBIBLE ของออสเตรเลียได้ติดต่อบริษัทแอมะซอนในเรื่องนี้เพื่อขอความเห็น โฆษกแอมะซอนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ได้รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้ทำการลบออกไปแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top