"มูลนิธิพลังที่ยั่งยืน" และ "ศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม" ไปสู่ความร่วมมือกับ "สถาบันนวัตกรรม ปตท." นำมา Upcycling กลายเป็นสินค้าฝีมือชุมชน เพื่อหวังกระจายรายได้ และช่วยลดขยะหลอดได้ถึง 646 กก.
"หลอดพลาสติก" ขยะชิ้นเล็กที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ไปทั่วโลก จากการใช้งานราว 500 ล้านชิ้นต่อวันด้วยเวลาอันสั้นก่อนกลายเป็นของเสียที่ถูกทิ้งและยังย่อยสลายช้ากว่า 200-300 ปี นั่นจึงทำให้ "มูลนิธิพลังที่ยั่งยืน" จับมือกับ "สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)" และ "ศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรม ม.เกษตรศาสตร์" ร่วมกันคิดหาทางยืดเวลาการใช้งานของ "หลอด" จนกลายเป็น "โครงการต่ออายุหลอดพลาสติก" นำหลอดที่ใช้แล้วมาปรับปรุงคุณสมบัติให้เกิดความยืดหยุ่นในรูปแบบวัสดุใหม่ (Upcycling) และศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เป็นวัสดุทดแทนวัสดุจากธรรมชาติ
ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากโครงการที่ "มูลนิธิพลังที่ยั่งยืน" ได้รณรงค์นำขยะหลอดพลาสติกใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักและช่วยลดปัญหา ไปสู่การเปิดรับบริจาคหลอดเพื่อจัดทำหมอนไส้หลอดในการป้องกันแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียง ตั้งแต่ปี 2563 จนสามารถลดขยะหลอดพลาสติกได้ราว 1,276,000 หลอด หรือ 646 กิโลกรัม และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 93 ต้นเลยทีเดียว
ดร.จิระวุฒิ จันเกษม นักวิจัยอาวุโส สถาบันนวัตกรรม ปตท. เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโครงการนี้เกิดมาจากปัญหาหมอนไส้หลอดที่ทางมูลนิธิพลังที่ยั่งยืนได้ผลิตไปก่อนหน้านี้เสื่อมสภาพจนไม่สามารถใช้งานได้อีก จึงได้มีการคุยกันและทางสถาบันฯ ซึ่งเป็นหน่วยที่ทำการวิจัยและพัฒนาก็เล็งเห็นถึงความตั้งใจของผู้ที่อยากบริจาคหลอดมาเพื่อลดขยะและอยากทำให้เกิดประโยชน์ จึงเห็นว่ามันน่าจะทำประโยชน์ได้ต่อจนนำเอาหลอดเหล่านั้นมาพัฒนาให้กลายเป็นวัตถุดิบอื่นๆ
"ในส่วนของงานวิจัยมันคือการเปลี่ยนของเสียที่มองว่าเป็นวัตถุดิบ พยายามทำให้เกิดเป็นวัสดุหรือของที่เอาไปใช้ประโยชน์ต่อ ถ้าเราเปลี่ยนมาเป็นแค่แผ่น หรือเส้นพลาสติกธรรมดามันยากมากที่คนจะเอากลับไปใช้ สิ่งที่ขาดอยู่ก็คือการออกแบบและเปลี่ยนให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์จริงๆ เพื่อให้สามารถที่จะเอาไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เพราะฉะนั้นต้องมีคนที่ช่วยพัฒนา" ดร.จิระวุฒิเล่าถึงความร่วมมือกับศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมฯ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
นักวิจัยอาวุโส สถาบันนวัตกรรม ปตท. ยังมองถึงปัญหาของขยะหลอดพลาสติกที่เป็นเพียงขยะชิ้นเล็ก หลอด 1 ชิ้น มีขนาดแค่ไม่กี่กรัม หากจะนำไปรีไซเคิลจะไม่คุ้ม และยังยากในกระบวนการ ทั้งการแยก ทำความสะอาด และรวบรวม จึงกลายเป็นของเสียตัวหนึ่งที่ถูกละเลยจนเกิดผลกระทบต่อสัตว์ในทะเลและพื้นดินเป็นวงกว้าง
"เราไม่ต้องมาผลิตพวกนี้ก็ได้นะ ถ้าคุณใช้หลอดแล้วล้างเก็บไว้ใช้อีกเพราะการแก้ปัญหาขยะจริงๆ มันควรจะเป็นการลดใช้ มากกว่าเปลี่ยนรูป แต่ยังไงก็ตามเราก็ไม่มีทางที่จะลดจนหมดไปได้ อันนี้เราเสนอทางเลือกเสริมขึ้นมาว่า ในขณะที่ถ้าทุกคนจะยังรณรงค์ลดขยะ การใช้ซ้ำ แต่มันก็ยังมี เราก็เลยเอาอันนี้มาเปลี่ยนมาเป็นวัตถุดิบใหม่แทนการทิ้งเป็นขยะไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าอายุการใช้งานอาจไม่เท่ากับพลาสติกใหม่"
ส่วนกระบวนการแปรรูปนั้น ดร.จิระวุฒิเล่าว่า ผลิตภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกทุกตัวเริ่มต้นก็ต้องทำให้เกิดเป็นเม็ดพลาสติกก่อนนำไปสู่กระบวนการขึ้นรูป หลอดก็เช่นกัน ระยะเวลาการผลิตมันไม่ใช่ 5 นาที แต่เวลาเราใช้งานเราดูดน้ำเสร็จก็ทิ้งแล้ว อายุการใช้งานมันสั้นมาก ซึ่งในส่วนของทีมพัฒนาและวิจัย รับผิดชอบในการเปลี่ยนหลอดให้เป็นวัสดุ ทั้งแผ่นพลาสติกขนาดบาง และขนาดหนา รวมทั้งวัสดุที่เป็นเส้น เพื่อให้ฝ่ายออกแบบลองพิจารณาว่าชิ้นนี้มีความเหมาะสม น่าสนใจพอที่จะไปทำเป็นผลิตภัณฑ์แล้วหรือยัง ถ้ามีจุดไหน เช่น แข็ง-นิ่มมากเกินไป ก็จะนำกลับมาพัฒนาต่อในงานวิจัย
นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้ร่วมมือกับหลายชุมชนใน จ.พระนครศรีอยุธยา และนราธิวาส ในการผลิตเป็นงานฝีมือต่างๆ ซึ่งทางสถาบันนวัตกรรม ปตท.ได้ส่งวัสดุไปยังทีมออกแบบเพื่อให้สื่อสารกับชุมชนต่างๆ เพื่อดูผลก่อนส่งกลับมาให้ทีมวิจัยได้ทำการบ้านเพื่อพัฒนาต่อ โดย ดร.จิระวุฒิอธิบายถึงความร่วมมือนี้ว่า เรื่องขยะเป็นเรื่องใกล้ตัว ถ้าชาวบ้านเห็นถึงปัญหามันอาจจะเกิดการรณรงค์ในเรื่องของการแยกและการจัดการขยะ นอกจากนี้ยังอยากให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่หลายๆ ชุมชนด้วย มันก็จะเพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดได้
"เวลาเราทำพวกนี้คนจะถามว่าทำไมมันแพง ก็อย่าลืมว่า หลอด 1 อันมีขนาด 0.2 กรัม กว่าจะรวบรวม มาทำความสะอาด หาวิธีแปลงกลับมาเป็นเส้นเพื่อที่จะเอากลับมาสาน มันมีขั้นตอนมีกระบวนการที่บางครั้งคนอาจจะลืมไป คิดแค่ว่ามันเป็นขยะ"
ด้าน รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ร่วมมือกับมูลนิธิพลังที่ยั่งยืน มาตั้งแต่ต้นของการทำหมอนไส้หลอดในการป้องกันแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียง จนมาถึงโครงการนี้ที่ได้ร่วมงานกับทางสถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็เล่าถึงโจทย์ที่ท้าทายจากการแปลงหลอดเป็นวัตถุดิบใหม่ที่ชุมชนทำได้ว่า ในช่วงต้นได้ให้ลองทำเทคนิคทั้ง การตัด การป่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ การรีดเอง การเอาแผ่นวัสดุมาซ้อนทับกันแล้วอัดขึ้นรูปใหม่ (Laminate)
"พอทำไปสักพักแล้ววัสดุที่ทำขึ้นมามันเย็บยาก ไม่แข็งแรง แม้ทำได้แต่การยืดอายุมันก็ได้อีกแค่นิดเดียว จึงเริ่มคิดว่า จริงๆ แล้วเราควรทำอะไรที่ไม่ให้ชุมชนทำ 100% เลยได้ไหม จากความร่วมมือของมูลนิธิพลังที่ยั่งยืน กับสถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้วทางศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมเป็นตัวเชื่อมในการออกแบบชิ้นงานขึ้นมา"
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการแปลงพลาสติกที่มาจากการรีดด้วยชุมชนแล้วเอาไปเป็นวัสดุที่แข็งแรงขึ้นแล้วเอาไปทำทั้งเส้น และ แผ่นหลายรูปแบบ โดย รศ.ดร.สิงห์เล่าว่า ได้นำไปทดลองที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อหาชุมชนที่ทำได้ มีการศึกษากันราว 2-3 ปี มีการปรับขนาดเส้นพลาสติก ความนุ่ม เหนียว เบา มาเรื่อยๆ แล้วแต่ที่ทางทีมวิจัยจะลองทดสอบลงมา รวมถึงเรื่องสี และการทำหวายเทียม ก็มีการทดลองหลายอย่างให้ชุมชนได้เห็นด้วยกัน
"เรามีการปรับการออกแบบให้เข้ากับชุมชนตลอดเวลา เพราะบางที่ถึงเขาจะถนัดสาน แต่พอเปลี่ยนรูปแบบเส้นพลาสติกแล้วเขาควบคุมไม่ได้ให้แบบที่เขาเคยถนัด เราจึงเปลี่ยนวิธีมาใช้ชุมชนที่ถนัดการสานหลายๆ ชุมชนเพื่อให้แต่ละแห่งดูว่ามีที่ใดจะค้นพบเทคนิคที่น่าสนใจบ้าง เพื่อมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป"
ในส่วนของการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้น หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ อธิบายว่า เดิมชุมชนนั้นๆ ทำกระเป๋าอยู่แล้ว จึงเริ่มให้นำไปสานเป็นกระเป๋าก่อนเพื่อดูว่าถ้าเปลี่ยนวัสดุแล้วยังทำได้สวย มีคุณภาพได้อยู่หรือไม่ ในขณะเดียวกันก็มีทีมออกแบบสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับของตกแต่งบ้านขึ้นมา เช่น ตะกร้าขนาดใหญ่ กระถางต้นไม้ ที่สวมแจกัน เพื่อให้ชุมชนเห็นว่าจากกระเป๋ามันแปลงเป็นอะไรได้บ้างในเทคนิคเดียวกัน
โดย รศ.ดร.สิงห์บอกว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการนำผลงานเหล่านั้นมาขาย เพราะเพิ่งจะปิดโครงการในการฝึกฝนชุมชน ซึ่งกำลังปรึกษากันว่าจะต่อยอดทำอะไรให้กลายเป็นรายได้เสริม แต่ตอนนี้ชุมชนต่างๆ เริ่มคุ้นกับการใช้งานเส้นพลาสติกแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการออกแบบจริงๆ และน่าจะมีดีไซเนอร์หลายคนมาร่วมงานมากขึ้น ส่วนในแง่ของราคานั้น มันเป็นช่วงต้น จึงยังไม่ได้สรุปกัน แต่เท่าที่พบมาด้วยความที่ทุกอย่างเป็นต้นแบบหมด ราคาจะสูงกว่าปกติอยู่ จึงคาดหวังว่าเมื่อเขาคุ้นกับเส้นเหล่านี้ในปีที่ 2-3 ราคาน่าจะเป็นปกติเหมือนผลิตภัณฑ์ทั่วไป
รวมไปถึงกลุ่มผู้ซื้อที่สนใจสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นวัยรุ่น หรือคนทำงาน แม้ว่าจะสนใจในเรื่องราวที่มาที่ไปของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การเก็บหลอดล้างและยอมเสียเงินส่งมาให้ชุมชนไปผลิตต่อ แต่ปัจจุบันหน้าตาของผลิตภัณฑ์มันยังคล้ายกับของเดิมอยู่ ซึ่ง หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ ก็ยอมรับว่าถ้าเป็นเช่นนี้ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดตลาดออกมาขายจำนวนมาก
"ต้องเข้าใจก่อนว่า เราต้องการพัฒนาศักยภาพของชุมชน ซึ่งถ้าจะไปให้เร็วกว่านี้ เราเอาดีไซเนอร์, SMEs มาเข้าสู่กระบวนการใช้เศษวัสดุ ใช้เส้นพลาสติกแบบนี้ ก็จะเห็นผลงานที่เป็นมืออาชีพและสวยงามอย่างรวดเร็วมาก แต่ด้วยกระบวนการเราก็จะเน้นให้ชุมชนทำได้เป็นหลักแล้วค่อยเรียนรู้จักวัสดุ เปลี่ยนแนวความคิด เปลี่ยนวิธีการ ซึ่งต้องใช้เวลา"
ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) กับ ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ คุณอานนท์ ฤทธิ์ธาร ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ ผู้แทนจากบริษัท ซีพีพี จำกัด
.
การลงนามความร่วมมือดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาก๊าซไบโอมีเทนอัดจากน้ำเสียและของเสียโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของบริษัท ซีพีพี โดยการกักเก็บก๊าซมีเทนจากการบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซ NGV ในสถานีบริการ NGV ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันได้ต่อยอดความร่วมมือเพื่อขอการรับรองคาร์บอนเครดิตในโครงการ T-VER ทั้งนี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศอย่างแข็งแรงและยั่งยืน
ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี พ.ศ. 2565 ให้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในโอกาสที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยองผ่านการตรวจประเมินและได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรม
โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง นับเป็นส่วนการผลิตที่สำคัญยิ่งต่อวงจรอุตสาหกรรมด้านพลังงานในประเทศ ทั้งยังสร้างนวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกภาคส่วน โดยล่าสุดได้ใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมนำความเย็นที่เกิดจากกระบวนเปลี่ยนสถานะของก๊าซฯ จากกระบวนการผลิตมาปรับใช้เพาะปลูกพืชเมืองหนาว คือสตรอว์เบอรี่พันธ์ “Akihime” ที่โรงเรือนอัจฉริยะ ณ สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ จ.ระยอง ซึ่งให้ผลผลิตตลอดทั้งปี
ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. คือ “ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต” หรือ “Powering Life with Future Energy and Beyond” กล่าวได้ว่า ปตท. ได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและสร้างคุณค่าต่อสังคมไทยและประเทศอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 65 เว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล รายงานอ้างคำเปิดเผยของศาสตราจารย์ชามูเอล ชาปีรา นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของรัฐบาลอิสราเอล ที่กล่าวประณามนักวิจัยของห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบอสตัน ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ ที่ทำการทดลองเพาะเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ไฮบริด ที่เกิดจากการสกัดหนามโปรตีนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ที่มีอัตราการแพร่เชื้อเร็วสูงสุด มาตัดแต่งเข้ากับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้ชื่อว่า 'โอมิครอน-เอส'
.
นักวิทยาศาสตร์ของอิสราเอลระบุว่า การทดลองนี้เรียกได้ว่าเป็นการ 'เล่นกับไฟ' ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เพราะจากการทดลองกับหนูจำนวน 10 ตัวที่ได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เพาะออกมาในห้องทดลองนี้ ปรากฏว่าหนูตายไป 8 ตัวจากจำนวนทั้งหมด 10 ตัว คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 80%
.
รายงานข่าวระบุว่า การเปิดเผยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายที่ยังคงดำเนินต่อไปจากการทดลองในห้องแล็บสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าอาจเกิดการหลุดรอดออกมาของเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อีกรอบ แม้ว่าการทดลองเพาะเชื้ออันตราย อย่างงานวิจัยที่พยายามสร้างซูเปอร์ไวรัสขึ้นมาเพื่อศึกษาว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างไรได้บ้าง (Gain of Function research) ได้ถูกสั่งห้ามในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ขณะที่มีความเชื่อกันว่า เชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลก มีต้นตอมาจากตลาดค้าสัตว์ป่า ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องทดลองวิจัยเชื้อไวรัสโคโรนาในค้างคาว ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ของจีน
.
นายแพทย์ริชาร์ด อีไบร์ท นักเคมีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในเมืองนิว บรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์กล่าวว่า หากโลกต้องการปกป้องไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากห้องแล็บครั้งใหม่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องสอดส่องไม่ให้เกิดการวิจัยซูเปอร์ไวรัสอันตรายขึ้นมาอีก
.
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2529533
https://ch3plus.com/news/international/frontpagenews/315895
อเล็กซ์ซานดรา ไวท์ หัวหน้าทีมวิจัยจาก NIEHS เผยว่าทีมวิจัยคาดว่าผู้หญิง 1.64% ที่ไม่เคยใช้น้ำยายืดผมมีควาเสี่ยงเกิดมะเร็งปากมดลูกช่วงอายุ 70 ปี แต่หากใช้บ่อยจะเกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก 4.05%
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ติดตามผู้หญิงจากหลากหลายเชื้อชาติทั้งหมด 33,947 คน เป็นระยะเวลาเกือบ 11 ปี มีช่วงอายุระหว่าง 35-74 ปี และพบว่าผู้หญิง 378 คนเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก
หลังจากสำรวจปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ในผู้เข้าร่วมทดสอบ พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก จากน้ำยายืดผมมีมากกว่าปัจจัยอื่นถึง 2 เท่า และเสี่ยงสูงเป็น 4 เท่าเมื่อปีก่อน และแม้ใช้ยายืดผมน้อยครั้ง เมื่อปีก่อน พบว่ามีความเสี่ยงเกิดมะเร็งปากมดลูกสูง แต่ทางสถิติไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ใช้งานน้อยกับผู้ใช้งานบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่า ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งได้อยู่
นอกจากนี้ งานวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่า น้ำยายืดผมมีสารเคมีที่มีผลต่อต่อมไร้ท่อ และผลวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า น้ำยายืดผมมีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ ระบุว่า (ซีดีซี) มะเร็งปากมดลูกยังคงเป็นมะเร็งทางนรีเวชที่พบมากที่สุดในสหรัฐ มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตลอด โดยเฉพาะผู้หญิงผิวดำ เนื่องจากผู้หญิงผิวดำใช้น้ำยายืดผมหรือครีมยืดผมบ่อยครั้ง และมีแนวโน้มที่จะใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยมากกว่าคนเชื้อชาติอื่นหรือชาติพันธุ์อื่น การค้นพบนี้ อาจมีความเกี่ยวข้องกับพวกเธอมากขึ้น
ร่วมบรรจุถุงยังชีพจำนวน 1,500 ถุง เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลพายุโนรู ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ได้แก่ เทศบาลตำบลวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 1,000 ถุง พร้อมส่งทีมปฏิบัติการชมรม PTT Group SEALs เจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบนและอุปกรณ์กู้ภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ และนำส่งที่ตำบลท่ามะนาว อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี จำนวน 500 ถุง
โดยในปี 2565 นี้ ปตท. มีแผนการดำเนินการแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนกว่า 10,000 ถุง โดยถุงยังชีพประกอบด้วย อาหารพร้อมรับประทาน เครื่องอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและสามารถใช้ได้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเบื้องต้น
สหรัฐอเมริกา สนใจลงนาม MOU Cyber ไทย หวังดึงกลุ่มลงทุน เข้าไทย
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม และ นาย อะเลฮันโดร มาโยกัส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ร่วมหาลือ เเลกเปลี่ยนทางด้าน ความปลอดภัย ไซเบอร์ระหว่างร่วมงาน Singapore international Cyber week ณ.ประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง นายอะเลฮันโดร มาโยกัส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ได้ระบุว่า ทางสหรัฐอเมริกา สนใจ ที่จะ ลงนาม MOU กับประเทศไทย ในเรื่อง ความร่วมมือ ด้านการป้องกันภัย ไซเบอร์ หรือ Cyber security เเละมุ่งเน้นไปที่วิธีจัดการอาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวกับเยาวชน และควรช่วยกันความรู้ร่วมถึงต้องการให้ คนไทย ได้รับการฝึกอบรมเรียนรู้เรื่อง Cyber Security โดยเรียนรู้จากสถาบัน Idaho National Laboratory ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเน้นย้ำเรื่องการป้องกัน Scams ซึ่งทางสหรัฐอเมริกามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้เลย เพื่อไม่ให้คนตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์เหล่านี้อีก ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ได้กล่าวเชิญให้บริษัทในสหรัฐอเมริกามาลงทุนเรื่องการตั้งธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทยซึ่งตอนนี้กำลังเติบโตไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม ยังพบกับการหอการค้าสหรัฐอเมริกาพร้อมกับบริษัททางด้าน Cyber Security ประมาณ 40 บริษัทที่ให้ความสนใจ ลงทุนในไทยด้วย
กลุ่ม ปตท. มอบบัตรเติมน้ำมัน สนับสนุน กทม. บรรเทาเหตุน้ำท่วม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ - นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลางซ้าย) มอบบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 200,000 บาท ในนามกลุ่ม ปตท. แก่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กลางขวา) เพื่อสนับสนุนการทำงานของกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือเหตุอุทกภัย และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต กทม.
กล่าวว่าเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา กระทรวง อว.ได้ประกาศระบบการเทียบโอนหน่วยกิต และระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญภายใต้นโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษา ของ รมว.อว.ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
โดยระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติมีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนากำลังคนของประเทศผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนในทุกช่วงวัย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักศึกษาสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ภายใต้ระบบคลังหน่วยกิต ซึ่งผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตผ่านในระบบคลังหน่วยกิตได้ผ่าน 3 รูปแบบ ได้แก่
1.หลักสูตรต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ทุกวิชาสามารถเปิดให้คนทุกช่วงวัยเข้ามาเรียนเพื่อสะสมหน่วยกิตได้
2.หลักสูตรจากสถาบันอบรมต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองจาก อว.โดยต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งในการเปิดหลักสูตรร่วมกัน ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว
3.ประสบการณ์การทำงาน ทุกคนสามารถเอาประสบการณ์การทำงานมาเป็นเครดิตตนเองได้ แต่ทั้งนั้นก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะกำหนดแบบใดถึงจะมีการนำเอาประสบการณ์มาเทียบเป็นหน่วยกิตได้
โดยจะมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา สถานประกอบการไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เมื่อเทียบโอนและสะสมไว้ที่คลังหน่วยกิตแห่งชาติแล้วสามารถนำขอรับปริญญาบัตรจากสถาบันอุดมศึกษาได้ หรือเพื่อเป็นรายงานผลลัพธ์การเรียนรู้สะสมของผู้เรียน ประเดิมนำร่อง กับ 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566 ได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ศ.ดร.ศุภชัยกล่าวต่อว่าที่ผ่านมา อว.ได้ดำเนินโครงการ Thailand Cyber University ที่มีหลักสูตรออนไลน์ ผ่าน Thai MOOC ซึ่งช่วยในการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้แก่ผู้เรียนนอกมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว ในขณะที่ระบบคลังหน่วยกิตใหม่นี้จะเป็นการต่อยอด และขยายโอกาสการเรียนรู้ของผู้เรียนออกไปอีกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดผลอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ อว.จึงได้ร่วมกับ SkillLane และอีก 4 มหาวิทยาลัย ในการนำร่องการทดลองระบบคลังหน่วยกิตทั้งในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการตามประกาศ และทางเทคนิคที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูล และจะขยายรูปแบบตามโครงการนำร่องไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อให้ระบบคลังหน่วยกิตเกิดประโยชน์สูงสุด
ด้านนายฐิติพงศ์ พิสิฐวุฒินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิลเลน เอดูเคชั่น จำกัด กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือในโครงการนำร่องจัดทำคลังหน่วยกิตแห่งชาตินี้ได้จะใช้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของเราเข้ามาช่วยพัฒนาระบบสารสนเทศของคลังหน่วยกิตแห่งชาติโดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อคลังหน่วยกิตของแต่ละสถาบันเข้าไว้ด้วยกัน
รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า คลังหน่วยกิตแห่งชาติจะเชื่อมต่อกับ TUXSA ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์ของธรรมศาสตร์ได้อย่างลงตัวในอนาคตแล้ว ยังจะช่วยให้ธรรมศาสตร์กลับไปทำหน้าที่ตลาดวิชายุคดิจิทัลที่ส่งเสริมการ Upskill และ Reskill ให้กับคนในทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ม.ธรรมศาสตร์ได้ปรับตัวในเรื่องการเรียนการสอนหลายด้าน เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งประกาศกฎระเบียบใหม่ คือเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่ไปประกวดหรือแข่งขันโครงการใด ๆ ก็ตามสามารถนำเอาผลสำเร็จตรงนั้นมาเทียบเป็นหน่วยกิตได้เป็น 6 หน่วยกิต หรือถ้าเป็นสตาร์ตอัพก็สามารถนำมาเทียบเป็นหน่วยกิตได้ถึง 16 หน่วยกิต เพราะการที่เป็นสตาร์ตอัพได้นั้น แปลว่ามีความรู้ความสามารถ มีบริษัทที่เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งการปรับตัวในลักษณะนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสแก่นักศึกษา ทำให้นักศึกษามีประสบการณ์ตั้งแต่เรียนในห้องเรียน เพราะตอนนี้การเรียน 4 ปีในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอาจช้าไป นักศึกษาธรรมศาสตร์ต้องมีความรู้ มีประสบการณ์ตั้งแต่ในห้องเรียน”
รศ.ดร.ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต่อว่าคลังหน่วยกิตแห่งชาติ (NCBS) เป็น Ecosystem สำคัญของกระทรวง ที่ขยายโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาในระบบ Formal Informal และ Non-Formal Education ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนความรู้ใหม่ ๆ ผ่านหลากหลายแหล่งเรียนรู้และประสบการณ์การทำงานจริง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของจุฬาฯ ในศตวรรษใหม่ที่พร้อมปรับตัวเข้ากับอนาคต ผ่านการมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนสังคมและประเทศ รวมถึงผลิตบัณฑิตสมรรถนะสูงที่ตอบสนองความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคใหม่บนฐานของ Demand Driven
รศ.ดร.ปรารถนา ใจผ่อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าตอนนี้ ม.เชียงใหม่ มีหลักสูตรมากกว่า 200 หลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยเข้ามาเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออฟไลน์ ออนไลน์ ซึ่งเราทำมาสักระยะหนึ่ง และเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2564 และคาดว่าในอนาคตจะมีการเปิดหลักสูตรมากขึ้น เพื่อรองรับกับระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติ และทำให้การเรียนในรูปแบบสะสมหน่วยกิต เป็นที่รับรู้และเข้าใจไปยังวงกว้างมากขึ้น
รศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่าเรามียุทธศาสตร์ ONE RMUT ของกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) 9 แห่ง เพื่อร่วมกันพลิกโฉมแนวทางการผลิตกำลังคนยุคใหม่ เพื่อผลิตกำลังคนสมรรถนะสูงและนวัตกรเพื่อพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว คาดว่าระบบคลังหน่วยกิตจะช่วยซัพพอร์ตการพัฒนากำลังคนของกลุ่ม ONE RMUT ตอนนี้เรามีการวางหลักสูตรในระบบราว 45 หลักสูตร สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี และคนทั่วไป
“ยะลา” จังหวัดผังเมืองสวย อันดับ 1 ของไทย อันดับ 23 ของโลก
“ใต้สุดแดนสยาม เมืองงามชายแดน” บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดยะลาได้เป็นอย่างดี ความงามประการแรกที่ใครหลาย ๆ คนคำนึงถึง คงไม่พ้นเมืองที่มีผังสวยที่สุดของประเทศไทย จากการที่เทศบาลนครยะลาได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการพิจารณาในส่วนของโซนเอเชียและแปซิฟิค เมื่อปี พ.ศ.2546 จนผ่านการตัดสินชนะเลิศจากกรรมการตัดสินชุดใหญ่ของ UNESCO ได้รับรางวัล UNESCO Cities และมีเว็บไซต์ชื่อดัง จัดอันดับ "ยะลา" ให้เป็นผังเมืองที่ดีที่สุด อันดับที่ 23 ของโลกในปี 2560 และนับได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย
.
การวางแผนผังเมืองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นเครื่องมือหนึ่งในฐานะกฎหมายที่มีบทบาทในการกำหนดประเภทการที่ดินและกิจกรรมต่าง ๆของมนุษย์ และเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาในอนาคตอีกด้วย หากไม่มีการวางผังเมืองก็จะทาให้เกิดปัญหาต่างๆ กับเมือง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเจริญเติบโตอย่างไร้ทิศทางของเมือง ปัญหาชุมชมแออัด ปัญหาทางด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาการป้องกันภัยธรรมชาติ และยังยากต่อการวางแผนนโยบายการพัฒนาต่อยอด เมืองในอนาคตอีกด้วย
.
วางผังเมืองก่อนจะเป็นเมือง : เมืองยะลา เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองใหญ่ในประเทศไทยที่มีการวางผังเมืองตั้งแต่ก่อนเริ่มก่อร่างสร้างเมือง สมัยที่ชุมชนเมืองยะลายังเป็นชุมชนขนาดเล็กเกาะตัวอยู่ใกล้สถานีรถไฟ รายล้อมด้วยสวนยางและป่าไม้ การตัดถนนจึงดำเนินการไปในพื้นที่สวนและป่าเป็นส่วนใหญ่ จุดเริ่มต้นของการวางผังเมืองยะลา การวางผังเมืองยะลานั้นริเริ่มโดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) อดีตข้าหลวงคนที่ 10 ของจังหวัดยะลา (พ.ศ.2456-2458) ซึ่งเมื่อลาออกจากราชการแล้วได้รับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองยะลาถึงสองสมัย (พ.ศ.2480-2488)
.
พระรัฐกิจวิจารณ์ได้ร่วมกับสหาย ข้าราชการ วางผังเมืองยะลาโดยได้รับการเสนอแนะจากแผนกผังเมือง กรมโยธาเทศบาล วางผังเมือง ยะลา โดยเรียกว่า ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 2485 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) มีการวางแผนการกำหนดพื้นที่การใช้ที่ดินในเขตเมือง และการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ภายในเมือง ในการริเริ่มดำเนินงาน พระรัฐกิจวิจารณ์และสหายข้าราชการ ได้ร่วมกันหาศูนย์กลางของเมืองแล้วจึงปักหลักก้อนใหญ่และมีก้อนหินไว้เป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายหลังได้เป็นที่ตั้งของศาลหลักเมือง และได้วางแผนผังเมืองเป็น วงเวียนรอบศูนย์กลางเมือง ทั้งสิ้น 3 วง โดยเตรียมที่ดินในบริเวณนี้ไว้เป็นสถานที่ราชการ คือ บริเวณวงในสุด เป็นสถานที่ราชการต่าง ๆ เช่น ศาลากลาง จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานที่ดิน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วงเวียนที่สอง คือ บ้านพักข้าราชการ และวงเวียนที่สาม ซึ่งเป็นวงเวียนสุดท้ายเป็นที่ตั้งของ โรงเรียน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัยของประชาชน
.
มีการสร้างถนนเข้ามายังศูนย์กลางเมืองที่เรียกว่า กิโลศูนย์ และตัดถนนสายต่าง ๆ กว่าทั่วทั้งเมืองยะลา ถนนพิพิธภักดี เริ่มจากสถานีรถไฟยะลาไปยังกิโลศูนย์ ถนนสุขยางค์ จากหอนาฬิกาไปถึงกิโลศูนย์ ถนนสิโรรสจากสถานีรถไฟยะลาถึงหน้าโรงพยาบาล ปัจจุบันถนนพิพิธภักดีและถนนสิโรรสเป็นถนนสายเอกของเทศบาลเมือง มีความสวยงาม ถนนพิพิธภักดี ซึ่งเป็นถนนคู่ มีทางเดินเท้าและช่องทางจักยาน และปลูกต้นประดู่เรียงรายไว้ตามเกาะกลาง และมีการตัดถนนสายย่อย ๆเป็นรูปสี่เหลี่ยมหมากรุก ได้แก่ ถนนยะลา ถนนไชยจรัส ถนนรัฐกิจ ถนนประจิน ถนนพังงา และถนนรวมมิตร เป็นต้น การตัดถนนเหล่านี้ได้ยึดหลักเกณฑ์ที่ว่าในการวางผังเมืองและตัดถนนได้แบ่งตัดซอยให้หลังบ้านชนกันแต่ห่าง 4 เมตร สำหรับ เป็นที่วางขยะ ถังขยะและสะดวกต่อการดับเพลิง
.
กำหนดรูปแบบการใช้ที่ดินไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม : ผังเค้าโครงเมืองยะลา ปี 85 โดยพระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) ซึ่งถือว่า เป็นการวางแผนผังเมืองยุคแรกๆ ของประเทศไทยนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า พระรัฐกิจวิจารณ์ ไม่ได้เน้นเพียงแค่รูปแบบที่มี ความสวยงามของ ผังเมืองเท่านั้น แต่ยังได้จัดสรร จัดประเภทการใช้ที่ดินเข้าเป็นหมวดหมู่เดียวกัน โยการกำหนดรูปแบบ และการใช้ที่ดินในเมืองยะลา แบ่งไว้อย่างชัดเจน เป็น 6 ประเภท ซึ่งเป็นแนวทางในการต่อยอดพัฒนาเมืองเรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
.
ประเภทที่ 1 พื้นที่สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ พื้นที่สถาบันราชการของเมืองยะลานั้นจะวางอยู่ บริเวณศาลหลักเมือง และวงเวียนหลักทั้งสามวงเวียน และถนนสิโรรส
.
ประเภทที่ 2 พื้นที่โล่งและนันทนาการ และการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เมืองยะลานั้นได้รับสมญานามว่า เมืองแห่งสวน ซึ่งทั่วทั้งเมืองยะลา ประกอบด้วยสวนและนันทนาการต่าง ๆ ดังนี้
• สวนขวัญเมือง (พรุบาโกย) สร้างบนพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 207 ไร่ ประกอบด้วย สวน สนามกีฬา สนามแข่งขันนกเขาชวาเสียง ซึ่งเป็นสนามมาตรฐานที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และชายหาดจำลอง
• สวนศรีเมือง เป็นสวนที่สร้างเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และคันกั้นน้าริมแม่น้ำปัตตานี เริ่มต้นจาก บริเวณตลาดเมือง ใหม่ถึงบริเวณสะพานข้ามทางรถไฟ เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างแล้ว เสร็จปี พ.ศ. 2546
• สวนสาธารณะบ้านร่ม แหล่งพักผ่อนหย่อนใจริมน้ำบ้านสะเตง เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะใจกลาง เมืองของเทศบาลนครยะลา ประกอบด้วยต้นไม้นานาพรรณและศาลาริมน้ำรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ของ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
• สวนสาธารณะสนามช้างเผือก (สนามโรงพิธีช้างเผือก) มีพื้นที่ 80 ไร่ เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างเผือก "พระเศวตสุรคชาธาร" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2511 ภายในสวนสาธารณะมีศาลากลางน้ำ รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ และสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ที่ใช้จัดกิจกรรม ต่าง ๆ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ
• สวนมิ่งเมือง สวนกิจกรรมเพื่อเยาวชนประกอบไปด้วยสวนย่อย ๆ 4 สวน ได้แก่ สวนมิ่งเมือง หรือ บาโร๊ะบารู 1-4 สวนสาธารณะมิ่งเมืองมีความยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร โดยสวนมิ่งเมือง 4 เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ภายในสวนประกอบด้วย สนามฟุตบอลหญ้าเทียม และสนามเด็กเล่น
• ศูนย์เยาวชนยะลา ประกอบไปด้วยสนามขนาดใหญ่เพื่อใช้รองรับการจัดงานสำคัญๆระดับจังหวัด ซึ่งในยาม ปกติชาวเมืองยะลาจะใช้เล่นฟุตบอล ออกกำลังกาย และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ฟิตเนสของเทศบาล นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ อุทยานการเรียนรู้ยะลา (TK PARK YALA) ซึ่งเป็นอุทยานการเรียนรู้แห่งแรกในส่วนภูมิภาค
• สนามกีฬาชุมชนจารู เป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอลหญ้าเทียมขนาดมาตรฐานแห่งเดียวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสเตเดียม ถือว่าเป็นสนามกีฬาที่มีความพร้อมในการจัดการแข่งขันกีฬาทั้งในระดับจังหวัด และภูมิภาค
• บึงแบเมาะ บึงแบเมาะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณชุมชนตลาดเก่า ติดกับเขาตูม และค่าย สิรินธร บึงแบเมาะถือว่าเป็นบึงที่มีความสำคัญของเมือง ในฐานะเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำขนาด ใหญ่ และนอกจากนี้ทางเทศบาลยังมีนโยบายพัฒนาบึงให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และนันทนาการ
.
ประเภทที่ 3 พื้นที่พาณิชยกรรม ตั้งรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน โดยมีถนนสายสำคัญๆ ของเมืองล้อมรอบ ได้แก่ ถนนสิโรรส ถนนพิพิธภักดี ถนนสุขยางค์ โดยชาวยะลามักเรียกพื้นที่พาณิชยกรรมว่า “สายกลาง” นอกจากนี้ เมืองยะลายังมีตลาดขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง ได้แก่ ตลาดเมืองใหม่ ตลาด สดผังเมืองสี่ ตลาดนัดเสรี ตลาดเช้า และตลาดหลังสถานีรถไฟบริเวณถนนวิฑูรอุทิศ ย่านตลาดเก่ากระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
.
ประเภทที่ 4 พื้นที่ที่อยู่อาศัย เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ซึ่งประชากรจะอาศัยอยู่ หนาแน่นบริเวณเขตพาณิชยกรรม และลดลงเรื่อยๆ จนกระทั้งกระทั้งเข้าพื้นที่เมืองสะเตงนอก โดยพื้นที่ ประชากรหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) จะล้อมรอบพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม)
.
ประเภทที่ 5 พื้นที่เกษตรกรรม อยู่บริเวณขอบนอกของเมือง และประเภทที่ 6 พื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้า ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ตลาดเก่า และถนน เทศบาล 1 โดยพื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้านั้นพบได้น้อยมากในเขตเมืองยะลา
รู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2
หลังจากที่เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ และเจ้าชายแฮรี่ นำขบวนพระราชนัดดาอีก 6 พระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธ ที่ 2 เข้าพิธีประทับยืนสงบนิ่งเฝ้าหีบพระบรมศพ ณ เวสต์มินส์เตอร์ ฮอลล์ ในกรุงลอนดอน ในวันที่ 17 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา สาธารณชนชาวอังกฤษได้จับตามองมาที่ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระโอรสองค์ที่ 2 ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ และพระราชนัดดาองค์เล็กสุดของควีน เอลิซาเบธที่ 2 เป็นพิเศษ
.
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังทรงพระเยาว์ วัยเพียง 14 ปี มีความน่าเอ็นดู แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความสงบนิ่ง สุขุมเกินวัย ในการประกอบราชพิธีสำคัญระดับชาติ ร่วมกับ พระญาติที่สูงกว่าทั้งวัยวุฒิ และยศถาบรรดาศักดิ์กว่าได้อย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่ประทับใจชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากที่ได้ชมพิธีผ่านสื่อ
.
และทำให้ระลึกถึงอดีตเจ้าชายวิลเลียม ในวัย 15 พรรษา ในงานพิธีศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่จัดขึ้นในวันที 6 กันยายน พ.ศ. 2540 ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับ เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น อยู่ไม่น้อย
.
วันนี้ เรามาทำความรู้จัก เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น พระราชนัดดาองค์องค์น้อยที่กลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนอังกฤษในวันนี้กันดีกว่า
.
เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น มีชื่อจริงเต็มๆว่า "เจมส์ อเล็กซานเดอร์ ฟิลิป ธีโอ" และใช้นามสกุล "เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์" สื่อมวลชนมักเรียกชื่อแบบย่อว่า "เจมส์ วินเซอร์" ปัจจุบัน ดำรงพระยศเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" นับเป็นทายาทลำดับที่ 14 ของราชวงศ์อังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่เมืองเซอร์รีย์ บิดา คือ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นพระโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 มารดา คือ ท่านหญิง โซฟี เฮเลน ไรนส์-โจนส์
.
ซึ่งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิง โซฟี มีธิดาองค์ต่อ คือ เลดี้ หลุยส์ อายุ 18 ปี และกำลังเข้าศึกษาต่อสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่ University of St. Andrews ในสกอตแลนด์ ในภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
.
ในช่วงวัยทารกของ เจมส์ วินเซอร์ เขากลายเป็นที่รักของคนในครอบครัวอย่างมาก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระบิดาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า เจมส์เป็นเด็กทารกที่น่ารัก น่ากอดมากๆ และทั้งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และ ท่านหญิงโซฟี ก็ตั้งใจที่จะเลี้ยงบุตร ธิดา ให้เติบโตขึ้นอย่างเด็กๆทั่วไป ด้วยการขอพระราชทานอนุญาตจากควีน เอลิซาเบธที่ 2 ขอสละฐานันดร "เจ้าชาย" "เจ้าหญิง" ของบุตร ธิดาของท่าน รวมถึงให้ละคำนำหน้าชื่อด้วยอักษรย่อ "H.R.H" ( His Royal Highness) ที่ใช้นำหน้าชื่อพระบรมวงศานุวงศ์ระดับเจ้าฟ้า
.
ซึ่งท่านหญิงโซฟี ผู้เป็นมารดาให้เหตุผลว่า ต้องการเลี้ยงลูกๆ ให้เติบโตพร้อมตระหนักในหน้าที่ว่าจำเป็นต้องประกอบสัมมาชีพเพื่อดูแลครอบครัวให้ได้เหมือนคนทั่วไป ส่วนฐานันดรศักดิ์ จะให้สิทธิลูกๆ เป็นคนตัดสินใจเองเมื่อบรรลุนิติภาวะ แต่ทั้งนี้ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดำรงพระอิสริยยศเป็นเอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางของอังกฤษที่มีการสืบทอดทายาทได้ ดังนั้น เจมส์ วินเซอร์ จึงได้รับตำแหน่งเป็น "ไวส์เคาท์ เซเวิร์น" ในฐานะที่เป็นทายาทของเอิร์ล นั่นเอง
.
ปัจจุบัน เจมส์ วินเซอร์ ไวส์เคาท์ เซเวิร์น ศึกษาในโรงเรียน Eagle House School ที่ตั้งอยู่ภายในราชมณฑลบาร์กเชอร์ และช่วงเวลาที่ผ่านมา เจมส์ วินเซอร์ แทบไม่เคยเปิดเผยตนออกสื่อในอังกฤษ จึงทำให้ชาวอังกฤษไม่คุ้นหน้าของพระราชนัดดาองค์เล็กพระองค์นี้นัก แม้ว่า ไวส์เคาท์ เซเวิร์น และ เลดี้ หลุยส์ จะร่วมงานพิธีสำคัญของราชวงศ์หลายงาน อาทิ งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายแฮรี่ และ เมแกน มาร์เคิล หรืองานฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
เปิดใจสาวพิการตัวเล็กบุรีรัมย์ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เศรษฐศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จากสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เผยตั้งความหวังอยากรับปริญญาตั้งแต่เด็ก พ่อ แม่ เพื่อนๆ เป็นแรงใจจนประสบผลสำเร็จ
.
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ได้เดินทางไปพบ นางสาววราภรณ์ สร้อยเสน หรือน้องหมิว อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/3 หมู่ 3 ต.ทุ่งวัง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ที่สวมครุยเพื่อเตรียมตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 17-26 กันยายน 2565 ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ โดยในวันนี้ เป็นการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับ ปริญญาเอก โท ตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ จำนวน 4,525 คน ที่หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร
.
นางสาววราภรณ์ สร้อยเสน หรือน้องหมิว เปิดเผยว่า ตนเกิดมาไม่สมประกอบ มีความพิการที่ขาและนิ้วมือ โดยมีความสูงเพียง 92 ซม. อยู่ที่บ้านกับบิดา มารดา น้องชายและน้องสาวรวม 5 ชีวิต ในสมัยที่ตนเป็นเด็ก ได้เห็นข่าวการรับปริญญาจึงเกิดความฝันว่าตัวเองก็อยากรับปริญญาบ้าง แต่จากข้อจำกัดทางด้านร่างกายและสุขภาพ ทางบ้านจึงบอกให้อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องไปเรียน ซึ่งตนเชื่อว่าไปเรียนได้ มารดาก็เลยไปส่งเข้าเรียนชั้นอนุบาล ก็ได้เพื่อนๆ คอยช่วยเหลือ ไปรับ - ส่ง ไปโรงเรียนบางครั้งก็ได้พ่อและแม่เป็นแขนขาให้ ซึ่งด้วยความรบเร้าอยากเรียนต่อ ทางบ้านจึงยินยอมให้ไปเรียน จนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และคิดว่าทำอย่างไรจะได้รับพระราชทานปริญญาเหมือนเช่นคนอื่นตามที่ได้ตั้งใจไว้ ซึ่งก็รบเร้ากับมารดาอีกจนท่านใจอ่อน จากนั้นได้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ แต่แม่ไม่มีเงินส่งให้เรียน ความฝันว่าจะได้เรียนก็พังสลายลง
.
น้องหมิว เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า ตนกลับไปนอนคิดอยู่หลายตลบ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานทุนการศึกษา ซึ่งตอนนั้นได้แต่ภาวนาให้จดหมายไปถึงสำนักราชเลขาธิการ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงพระประชวร แต่ต่อมาก็ได้รับหนังสือตอบกลับจาก กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง ระบุว่า”จะส่งเรียนจนจบระดับปริญญา”ความรู้สึกตอนนั้นดีใจจนบอกไม่ถูก รู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้
ชวนชมนิทรรศการ “ช้างมงคล” จากตำราคชศาสตร์ โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ
กรมศิลปากรโดยกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดนิทรรศการเรื่อง “ช้างมงคล” เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับช้างจากเอกสารโบราณ
.
ข้อมูลนิทรรศการสังเขป ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กับสังคมมนุษย์มาแต่โบราณกาล แม้โดยธรรมชาติช้างเป็นสัตว์ป่ารูปร่างใหญ่โตมีพละกำลังมากมายมหาศาล แต่ช้างก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือ มีอิริยาบถที่สง่างาม เฉลียวฉลาด แข็งแรง อดทน สามารถฝึกสอนให้เรียนรู้ได้ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระเจ้าแผ่นดินของไทยในสมัยโบราณ ทรงใช้ช้างเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญสำหรับกองทัพ โดยใช้ช้างเป็นส่วนหนึ่งของกำลังพลในการต่อสู้ขณะทำสงคราม ด้วยวิธีการชนกับช้างข้าศึก ใช้แทนกำลังทหารเพื่อทำลายประตูเมือง กำแพงเมือง ป้อม ค่าย บุกไล่ ทำลายทหารในกองทัพข้าศึก ใช้เป็นพาหนะบรรทุกปืนใหญ่ และสิ่งของเครื่องสรรพาวุธยุทโปกรณ์ รวมทั้งสัมภาระต่างๆ การศึกสงครามแต่ละครั้ง ช้างมีส่วนช่วยปกป้องรักษาบ้านเมืองให้พ้นภัย และขยายขอบเขตของอาณาจักรให้กว้างขวางออกไป
.
เมื่อบ้านเมืองเลิกใช้ช้างเพื่อการศึกสงคราม อีกทั้งกรมพระคชบาลของหลวงก็เลิกล้มไป ความรู้เกี่ยวกับช้างจึงหมดความจำเป็นสำหรับกิจการบ้านเมือง เป็นเหตุให้ความต้องการอยากเรียนรู้เรื่องช้างหมดไปด้วย เมื่อขาดการสืบทอดผู้มีความรู้เรื่องช้างก็ลดจำนวนลงเป็นลำดับ ปัจจุบันคนรักช้างได้พยายามฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับช้างมากขึ้น นับเป็นนิมิตอันดีอย่างยิ่งที่มรดกวัฒนธรรมของชาติชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งนี้ เริ่มได้รับความสนใจ มีความพยายามรื้อฟื้นให้มีการเผยแพร่และสืบทอด จึงเป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ เรื่อง “ช้างมงคล” มีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่
.
ส่วนที่ 1 นำเสนอความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในสมัยโบราณที่ใช้เรียกอวัยวะส่วนต่างๆ ของช้าง
ส่วนที่ 2 จะเป็นความรู้เกี่ยวกับการกำเนิดของช้างมงคลตามตำราคชศาสตร์ที่ปรากฏในเอกสารโบราณว่าช้างศุภลักษณ์ หรือช้างที่มีลักษณะมงคล พร้อมทั้งมีภาพประกอบจากเอกสารโบราณ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ตระกูล คือ 1. ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ 2. ช้างตระกูลพรหมพงศ์ 3. ช้างตระกูลวิษณุพงศ์ 4. ช้างตระกูลอัคนิพงศ์
ส่วนที่ 3 ทำเนียบนามช้างหลวงประจำรัชกาลในราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๙ พร้อมจัดแสดงเอกสารโบราณที่บันทึกทำเนียบนามช้างสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์
ส่วนที่ 4 การเปรียบเทียบความแตกต่างลักษณะทางกายภาพและถิ่นฐานระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกา
ส่วนที่ 5 การนำเสนอสารคดีเรื่องช้างไทย และการเล่นเกมส์โชคช้าง เป็นการเสี่ยงทายจากตำราโบราณ เพื่อให้ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการได้ร่วมสนุก
.
ผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการหมุนเวียน เรื่อง “ช้างมงคล” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2565 วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.30 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น. (หยุดวันนักขัตฤกษ์) ณ ห้องวชิรญาณ 2 – 3 อาคาร 2 ชั้น 1 สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ