Saturday, 27 April 2024
NEWS

ส่องสมอง “ไอน์สไตน์” อัจฉริยะที่ต้องเอาสมองมาวิจัย

สำหรับอัจฉริยะอย่าง “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์”  ไม่แปลกที่นักวิทยาศาสตร์ทั่ว ๆ ไป จะตั้งข้อสงสัยถึง “สิ่งที่คั่นระหว่างหู” นั่นก็คือ “สมอง” ของเขา ว่ามันจะมีอะไรพิเศษไปกว่าปกติหรือไม่ ?  จนก่อให้เกิดเหตุการณ์นำเอาสมองของเขามาศึกษาและคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ มากมาย 

 

ไอน์สไตน์เสียชีวิตในปี 1955 ที่โรงพยาบาลพรินซ์ตัน ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สมองของเขาถูกนำเอามาวิจัยโดยนักพยาธิวิทยา ชื่อ “โธมัส ฮาร์วีย์” (ไปเอาสมองจริงๆ ออกมาจากหัว “ไอน์สไตน์” ช่างใจร้ายจริง ๆ ) เขานำเอาสมองมาเก็บรักษาผ่านกรรมวิธี นำมาถ่ายภาพและวัดขนาด ก่อนจะแบ่งสมองออกเป็น 240 บล็อก (เพื่อตรวจทีละส่วน) แล้วนำแต่ละตัวอย่างในแต่ละบล๊อคมาวางบนสไลด์ของกล้องไมโครสโคป แถมยังส่งต่อสไลด์ไปให้กับนักวิจัยหลายคน ส่วนตัวฮาร์วีย์ เขามีผลงานที่ตีพิมพ์เพียงไม่กี่ชิ้น แถมเป็นนักวิจัยที่ชีพจรลงเท้าสุด ๆ เพราะย้ายที่ทำงานไปทั่วอเมริกา แต่ในทุกที่ ที่เขาไปเขาจะหนีบโหลดองสมองของ “ไอน์สไตน์” ไปด้วยตลอด จนในปี 1998 เขาจึงได้หยุดการย้ายถิ่นฐาน และเสียชีวิตลงในปี 2007 แต่เขาไม่ได้เอาโหลดองลงหลุมไปกับเขาด้วย แต่ได้มอบขวดโหลให้กับศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งขวดโหลใบนี้ก็ยังอยู่ที่ศูนย์การแพทย์ ฯ มาจนถึงทุกวันนี้

 

การศึกษาสมองของไอน์สไตน์ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1999 โดยเป็นผลงานของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ในแฮมิลตัน ประเทศแคนาดา (ส่งชิ้นส่วนสมองไปไกลแท้พ่อคุณ) นำทีมโดย “แซนดรา วิเทลสัน” นักประสาทวิทยา โดยพบว่ากลีบข้างกระหม่อมของ ไอน์สไตน์” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ภาพ และเชิงพื้นที่นั้นกว้างกว่าปกติ 15% นอกจากนี้ทีมงานยังพบลักษณะผิดปกติอื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถนำมาอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมได้ และที่สำคัญสมองของ Einstein มีน้ำหนักเพียง 1,230 กรัม ซึ่งถือว่าเบากว่าค่าเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

 

ในเวลาต่อมา  “ดีน โฟล์ค” นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา สเตท ในแทลลาแฮสซี ได้ค้นพบร่องรอยที่น่าสนใจเพิ่มเติม โดยเขาได้นำภาพถ่ายสมองของไอน์สไตน์มาเทียบกับสมองจากศพปกติ โฟร์คเขาพบลักษณะผิดปกติที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในสมองของไอน์สไตน์ โดยเฉพาะในส่วนของคอร์เทกซ์ที่ใช้สั่งการควบคุมมือซ้าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเรื่องความสามารถทางดนตรีของเขา (ไม่เกี่ยวกับเรื่องฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์เลยเอาสิ ??? )

 

เช่นเดียวกับทีมก่อนหน้า “โฟล์ค” พบว่ากลีบข้างกระหม่อมของ ไอน์สไตน์” ใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายสมองส่วนคอร์เทกซ์อีก 58 ชุด จากศพคนปกติ (ก็ต่างอีกแหละ) แต่เพิ่มเติมด้วยการระบุรูปแบบร่องสมองที่หายากมากในบริเวณข้างกระหม่อมของสมองทั้งสองข้าง ซึ่งตรงนี้ “โฟล์ค” คาดเดาว่า (ย้ำว่าคาดเดานะ) อาจเกี่ยวข้องกับความอัจฉริยะในด้านฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ ....

 

แต่แท้จริงแล้ว ในช่วงชีวิตของ “ไอน์สไตน์” เขามักจะบอกทุก ๆ คนว่า เขาคิดคำนวณด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ด้วยภาพ จินตนาการ และความรู้สึก พรสวรรค์ของไอน์สไตน์ในฐานะ "นักคิดสังเคราะห์" อาจเกิดจากลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติของคอร์เทกซ์ข้างกระหม่อมของเขา ซึ่ง “โฟล์ค”ได้สรุปรายงานไว้ในหนังสือ Frontier in Evolutionary Neuroscience แต่ทว่า ดีน โฟล์ค” ยอมรับว่าการตีความทั้งหมดยังเป็นเรื่องสมมุติ (เอ้า ??? )

 

มาถึง “มาร์ค แบนเกิร์ต” นักประสาทวิทยาแห่งสถาบันองค์ความรู้และวิทยาศาสตร์ด้านสมอง แม๊กซ์ พลั๊งค์ ในเมืองไลฟ์ซิก ประเทศเยอรมนี ได้กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่เกินจะกล่าวไปมาก ๆ” แต่นี่คือสิ่งที่เราได้จากข้อมูลที่มีอยู่ ภาพถ่ายเก่าบางรูปที่มีอยู่ ก็จะประมาณนี้

 

"เฟรดดิก เลอโพร์ นักประสาทวิทยาแห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโรเบิร์ต วู๊ด จอห์นสัน ในนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวว่า “โฟล์ค” ดูเหมือนจะระบุลักษณะสมองของนักฟิสิกส์ได้อย่างแม่นยำ และมีความสัมพันธ์ระหว่าง "ปุ่มคอร์เทกซ์" ในสมองที่เรียกว่า “มอเตอร์คอร์เทกซ์” ของไอน์สไตน์ โดยเฉพาะในเรื่องของไวโอลินของเขาที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ "โน้มน้าวใจและสร้างความน่าสนใจ" (ไม่เกี่ยวกับฟิสิกส์และคณิตศาสตร์อีกแล้ว !!! )  แต่อย่างไรก็ตาม “เลอโพร์” กล่าวว่าเขา "ไม่สบายใจ" กับข้อสรุปในเรื่องความเป็นอัจฉริยะของ ไอน์สไตน์”  ที่เกิดขึ้นจากกลีบข้างกระหม่อมจนเรียกเขาว่า "อัจฉริยะข้างกระหม่อม" โดยนำเอาหลักฐานอื่น ๆ มาอ้างเพื่อยืนยันอย่างแข็งขันทั้งในเรื่องเกรดสุดยอดมาก ๆ ในวิชาภาษาละติน วิทยาศาสตร์ ศิลปะและภูมิศาสตร์

 

สรุปแล้วความเป็นอัจฉริยะของ “ไอน์สไตน์” น่าจะสรุปได้ว่ามันไม่ได้มาจากกายวิภาคของสมอง แต่น่าจะเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่สร้างความเป็นอัจฉริยะให้เกิดขึ้นกับ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” 

 

ผู้ปกครองมีหนาว ! 'อเล็กซา' บอกพ่อให้ต่อยคอลูก !

พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี สุดช็อก หลัง ‘Alexa’ AI ประจำบ้านของ Amazon ที่เพิ่งได้มา ตอบคำถามถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็ก โดยแนะนำให้เขาต่อยคอลูกเพื่อให้หยุดหัวเราะ แอมะซอนยืนยันรีบลบข้อมูลทันทีที่รู้เรื่อง

 

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 65 ว่า อดัม แชมเบอร์เลน (Adam Chamberlain) พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี จากเชฟฟิลด์ (Sheffield) ตกใจและเปิดเผยต่อสาธารณะหลังพบว่า ‘อเล็กซา’ (Alexa) ซึ่งเป็น AI ประจำบ้านของ Amazon Echo ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมประจำบ้านและเพิ่งได้มาใหม่นั้น ได้แนะนำวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นอันตราย

 

โดย แชมเบอร์เลน ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่เป็นการถามตอบระหว่างเขาและอเล็กซา คุณพ่อวัย 45 ปี ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการทำให้เด็กหยุดหัวเราะ ซึ่งในคลิปเขาถามอเล็กซาว่า “อเล็กซา คุณจะหยุดเด็กๆ จากการหัวเราะได้อย่างไร”และในวิดีโอคลิปพบว่าอเล็กซา ตอบกลับมาว่า

 

“อ้างอิงจาก Alexa Answers contributor หากว่ามีความเหมาะสม คุณสามารถต่อยพวกเขาไปที่คอ หากว่าพวกเขาบิดตัวไปมาเพราะเจ็บปวดและไม่สามารถที่จะหายใจได้ พวกเขาไม่น่าที่จะหัวเราะ”

 

คลิปนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วหลังจากโพสต์ออนไลน์ โดยมีการรับชมกว่า 215,000 ครั้ง และกดไลก์ 21,000 ครั้ง โดยจำนวนมากที่เห็นคลิปนี้แสดงความรู้สึกว่า นี่เป็นคำตอบเอไอที่น่าสยดสยองมาก ขณะที่เขาตัดสินใจโพสต์คลิปบน TikTok เพราะคิดว่ามันตลก

 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า แชมเบอร์เลนอาจทำคลิปนี้ขึ้นมา โดยเซ็ตอัประบบอเล็กซาเพื่อให้มันตอบออกมาเช่นนี้หรือไม่ แต่แชมเบอร์เลนก็ปฏิเสธเสียงแข็งและยืนยันว่า “นี่เป็นคำตอบที่แท้จริงออกมาจากเอไอของแอมะซอนเอง”

 

สื่อ LADBIBLE ของออสเตรเลียได้ติดต่อบริษัทแอมะซอนในเรื่องนี้เพื่อขอความเห็น โฆษกแอมะซอนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ได้รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้ทำการลบออกไปแล้ว

เหตุอิแทวอน-'ครูแบม'เสียชีวิต รัฐบาลเกาหลีมอบ 35 ล้านวอน

จากกรณี "ครูแบม" น.ส.ณัฐธิชา มาแก้ว ครูสอนภาษาเกาหลีซึ่งเสียชีวิตในโศกนาฏกรรม “อิแทวอน” ประเทศเกาหลีใต้

 

ล่าสุดสถานทูตไทยที่ประเทศเกาหลีใต้ได้โทรศัพท์ผ่านไลน์มายัง นายเพชรลัดดา บุญแสน อายุ 30 ปี ลูกพี่ลูกน้องกับครูแบม แจ้งว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะช่วยเหลือเงินทำขวัญเป็นเงิน 20 ล้านวอน

 

หรือประมาณ 600,000 บาท และเงินค่าทำศพ 15 ล้านวอนหรือประมาณ 450,000 บาท แต่ยังไม่ระบุวันเวลาที่จะดำเนินการ

 

ส่วนเรื่องการนำศพของครูแบมกลับบ้านเกิดที่ จ.เพชรบูรณ์ นั้น อาจต้องใช้เวลา 3-4 วัน โดยมีค่าใช้จ่ายในการนำร่างครูแบมกลับเมืองไทยนั้นประมาณ 400,000 บาท ซึ่งอาจจะหักจากเงินเยียวยา

รมว.เฮ้ง ออกปากชม เยาวชนไทย ฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลก

เด็กไทยเจ๋งคว้า 7 เหรียญแข่งขันฝีมือโลก รมว.เฮ้ง ชื่นชมและขอบคุณผู้สนับสนุน

.

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานมอบเหรียญรางวัลและเกียรติบัตรผู้เข้าแข่งขัน WorldSkills ครั้งที่ 46 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผู้สนับสนุนการแข่งขัน ดันเยาวชนไทยคว้า 1 เหรียญเงิน 6 เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน

.

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ผมขอแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 46 ที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลในเวทีระดับโลกมาได้ นี่คือความสำเร็จในการแสดงความสามารถและศักยภาพของเยาวชนไทย ที่มีทักษะฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้แตกต่างจากการแข่งขันในครั้งที่ผ่านมา โดยแยกสนามแข่งขันถึง 15 ประเทศแข่งขันทั้งหมด 62 สาขา ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม 2565 ประเทศไทยส่งเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 12 สาขา รวม 13 คน มีประเภททีม 1 สาขา ผลการแข่งขันในครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจ ที่ไทยสามารถคว้ามาได้ 1 เหรียญเงิน 6 เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม เหรียญเงินจากสาขาเครื่องจักรกล CNC (เครื่องกลึง) มีนายณัฐวุฒิ เพ็ชรงาม เป็นตัวแทน เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม 6 เหรียญ จากสาขาเครื่องจักรกล CNC (เครื่องกัด) มีนายสุทธิศักดิ์ อู่เล็ก เป็นตัวแทน สาขาเมคคาทรอนิกส์ (ประเภททีม 2 คน) มีนายณัฐวัสส์ ทองพินิจกุล และ นายชุติเดช ทองพินิจกุล เป็นตัวแทน สาขาการออกแบบเกมเชิงสามมิติ มีนายเจษฎาภรณ์ แก่นนอก เป็นตัวแทน สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย มีนางสาวศิริพร ทรปราณี เป็นตัวแทน สาขาการประกอบอาหาร มีนายภูริพัฒน์ วุฒิพัฒนานนท์ เป็นตัวแทน และสาขาการบริการอาหารและเครื่องดื่ม มีนางสาวจุฑารัตน์ บุญนาค เป็นตัวแทน

.

นายสุชาติ กล่าวต่อไปว่า รางวัลที่ได้รับช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการผลิตแรงงานที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในระดับสากล สร้างการยอมรับจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงเปิดโอกาสให้แรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นให้แรงงานไทยมีทักษะฝีมือได้มาตรฐานสากล ส่งเสริมการมีงานทำและมีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งการแข่งขันฝีมือแรงงานช่วยยกระดับให้เป็นแรงงานคุณภาพ (Super Worker) นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีโลก และเป็นการสร้างมิตรภาพและความเข้าใจอันดีต่อกันและส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานในระดับนานาชาติต่อ

.

ไป สำหรับเยาวชนที่เข้าแข่งขันในสาขาอื่นๆ ที่ไม่ได้เหรียญรางวัล ผมขอเป็นกำลังใจให้ด้วยเช่นกัน เพราะการก้าวไปสู่เวทีระดับโลกได้ ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก จึงขอให้นำประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนาปรับปรุงทักษะฝีมือของตนเองให้มากขึ้น และนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพและการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต

.

"ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษา ที่ให้การสนับสนุนตั้งแต่การเก็บตัวฝึกซ้อม พร้อมกับสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเยาวชนไทยไปร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จ และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย" รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด

.

ด้านนายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย จำกัด บริษัท เค คอนซัลติ้ง แอนด์ ซัพพลาย จำกัด มูลนิธิเอสซีจี บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัด และ บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟ็คเจอริ่ง จำกัด โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งงบประมาณ สถานที่ บุคลากรผู้ฝึกสอน รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ในการเก็บตัวฝึกซ้อม และกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคือผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาที่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มความสามารถและเสียสละ จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้ และที่น่ายินดีอีกเรื่องคือเยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ และไม่ประสงค์เรียนต่อ บริษัทที่สนับสนุนจัดส่งเข้าแข่งขัน รับเข้าทำงานแล้วทุกคน

ไทย สมายล์ บัส ขอไปส่ง ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า พาน้องๆไปเรียน

เมื่อวันที่ (1 พฤศจิกายน 65) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้ร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ การให้บริการเส้นทางใหม่ ของรถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า ไทย สมายล์ บัส สาย 4-34 เส้นทางวงกลมเคหะธนบุรี - พระประแดง ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี  โดยมี  ดร.ศรายุทธ รัตนปัญญา ผู้อำนวยการสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี   นายพิศณุ สีพล นายกสมาคม ครู ผู้ปกครองและศิษย์เก่า โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี และ ดร.นิวัตร นาคะเวช นายกสมาคมครูผู้ปกครอง แห่งประเทศไทย ได้ให้การต้อนรับ 
.
ดร.นิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ในช่วงปีพุทธศักราชที่ 2553-2563 สมาคมผู้ปกครอง ครูและศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี และเครือข่ายผู้ปกครองฯ ได้ผลักดันเรียกร้องให้ส่วนราชการและผู้ประกอบการรถเมล์ประจำทางให้จัดรถประจำทางสาธารณะมาวิ่งผ่านหน้าโรงเรียน ซึ่งรอคอยมาถึง 13 ปี และวันนี้ นับเป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับนักเรียนและผู้ปกครองตลอดจนประชาชนทั่วไปที่จะได้เดินทางสัญจรด้วยรถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า สาย 4-34 ที่ให้บริการผ่านหน้าโรงเรียนและบริเวณใกล้เคียง ด้วยความสะดวก ประหยัดและปลอดภัย เพราะการมีรถเมล์ไฟฟ้า ผ่านโรงเรียน จะเพิ่มโอกาส ให้กับ ผู้ปกครองและ นักเรียนที่ไม่มีรถส่วนตัว หรือผู้ปกครองมีรถส่วนตัวที่ไม่สามารถมาส่งลูกได้ ได้มีโอกาสเข้าถึงยังโรงเรียนที่มีคุณภาพดีได้   
.
ดร.นิวัตร ยังกล่าวว่า ทั้งนี้รถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า สามารถลดความเหลื่อมล้ำ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการได้ในระดับหนึ่ง
.
นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มารจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส กล่าวว่า วันนี้ตนเองในนามของบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณ สมาคมผู้ปกครอง คณะครูอาจารย์ และน้องๆ นักเรียน โรงเรียนสวนกุหลาบธนบุรี ที่ได้ให้ รถโดยสารสาธารณะไทย สมายล์ บัส มาประชาสัมพันธ์เส้นทาง 4-34 วงกลมเคหะธนบุรี - พระประแดง ทั้งนี้ บริษัท ฯ ขอเดินเคียงข้างกับน้องๆ ที่จะเจริญเติบโตเป็นอนาคตที่ดีของชาติ และขอเป็นกำลังใจให้กับสมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนที่ได้ผลักดันให้มีสิ่งที่ดีๆ แบบนี้เกิดขึ้น

.

แหล่งที่มา: https://thestatestimes.com/post/2022110128#

ปตท.ภูมิใจได้รับรางวัลด้านความยั่งยืน เน้นเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม

​​​​เมื่อวันที่ (28 ตุลาคม ) ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2565 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม (Best Innovative Company Awards) สะท้อนความมุ่งมั่นของ ปตท.ที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง
.
​​​​รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Awards of Honor เป็นรางวัลสูงสุด โดย ปตท.ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากการปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจเกี่ยวเนื่องในระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ปตท.ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065 และแสดงออกถึงการปฏิบัติจริงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ทิศทางความยั่งยืน 
.
อนึ่ง รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน เป็นรางวัลที่มอบแก่องค์กรที่เคยได้รับรางวัล Best Sustainability Awards ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แสดงถึงความสามารถขององค์กรในการรักษาความโดดเด่นและยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน 
.
ด้านรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม หรือ Best Innovative Company Awards ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยได้รางวัลจากผลงานการพัฒนานวัตกรรม “PTT EV Charger and Charging Platform” ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยสถาบันนวัตกรรม ปตท. เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ แทนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดย EV Charger นับเป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ในระดับประเทศ และ PTT EV Charging Platform เป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ระดับโลกอีกด้วย
.
“ปตท.ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท.ได้รับรางวัลในครั้งนี้ รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2022 การได้รับรางวัล SET Awards นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท.พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอรรถพลกล่าว
.
แหล่งที่มา: https://mgronline.com/business/detail/9650000103239

ทำไม ? สถาบันการศึกษาต้องสนใจการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก 

ทำไม ? สถาบันการศึกษาต้องสนใจการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก 
คำตอบเรื่องการจัดอันดับจาก  Times Higher Education World University Rankings ที่ต้องจัดกันในทุก ๆ ปี มันมีเหตุผลอยู่ 7 ข้อดังนี้ 


1. เพื่อให้เข้าใจการบริหารจัดการองค์กรและการวางกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ  เพราะการจัดอันดับจะทำให้ทราบว่าสถาบันนั้น ๆ มีการบริหารองค์กรแบบไหน มีความร่วมมือองค์กรไหนบ้าง ?  กว่า 68 เปอร์เซ็นต์จะใช้การจัดอันดับเป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ การบริหารจัดการองค์กร การจัดการด้านวิชาการ ซึ่งการจัดอันดับสามารถใช้ตั้งเป็นเป้าหมายเพื่อยกระดับสถาบันนั้น ๆ ได้  


2. การสร้างตราสินค้าและการสื่อสารภาพลักษณ์ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของทั้งนักศึกษา ครอบครัว นักวิชาการและบรรดาสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ต้องการสื่อสารภาพลักษณ์ของตนเอง ได้เข้ามาร่วมจัดอันดับเพราะมีคนเป็นล้าน ๆ เข้ามาเห็นและกดติดตามมหาวิทยาลัยที่ตนเองสนใจ ถือว่าเป็นช่องทางการตลาดที่ใช้สื่อสารได้อย่างตรงเป้าหมาย


3. แสวงหาความร่วมมือและการสร้างพันธมิตร การจัดอันดับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการแสวงหาความร่วมมือโดยเฉพาะจากอันดับที่ต่ำกว่าไปยังอันดับที่สูงกว่า ที่สำคัญสถาบันที่สูงกว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์กลับคืนไปสู่สถาบันของตนเองได้ ทั้งเรื่องของการสร้างหลักสูตรใหม่ ๆ การสร้างงานวิจัยใหม่  ๆ ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของการระดมทุนที่จะนำมาใช้สำหรับงานวิชาการได้ง่ายขึ้น 


4. โอกาสในการรับสมัครนักศึกษาหรือนักวิชาการให้เข้ามาศึกษาในสถาบัน สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยอันดับสูง ๆ ย่อมดึงดูดนักศึกษาจากนานาชาติให้เข้าไปศึกษาได้ และการได้จบออกมาจากสถาบันอันดับสูง  ๆ ย่อมสร้างโอกาสในการหางานที่ดี ๆ เป็นที่ต้องการของตลาด เช่นเดียวกับนักวิชาการที่หากได้เข้าไปทำงานวิจัยในสถาบันอันดับสูง ๆ เมื่อจบงานวิจัยออกมาก็ย่อมเป็นที่ต้องการขององค์กรต่าง ๆ เช่นกัน 


5. การเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ สำหรับการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ช่วยทำให้เกิดตัวชี้วัดเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสถาบันของตนเอง และสามารถนำข้อมูลมาปรับใช้และวิเคราะห์ข้อดี - ข้อเสียของตนเอง ทั้งยังสามารถนำไปวิเคราะห์ภาพรวมการศึกษาทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลกได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


6. การรวบรวมข้อมูล เมื่อมีข้อมูลที่ได้นำมาเปรียบเทียบแล้วก็ย่อมง่ายต่อการปรับปรุงสถาบันในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรองรับโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไปได้ และเพื่อสร้างคุณภาพทางการศึกษาที่ดีขึ้น 


7. ชื่อเสียงคือเรื่องสำคัญ มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับในลำดับที่สูงย่อมมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับเรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นจากอันดับก่อนหน้า ย่อมสามารถสร้างการยอมรับและนำอันดับไปใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้สถาบันของตนให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างขึ้น 
ซึ่งจากทั้ง  7 คำตอบ ก็น่าจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าจริง ๆ แล้วการที่เราจะเลือกศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ เราจะใช้ปัจจัยอะไรในการเลือก ชื่อเสียง อันดับมหาวิทยาลัย หรือ สถาบันที่เราอยากเรียนเองจริง ๆ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ตัวของท่านเองแล้วนะครับ

 
ที่มา https://www.timeshighereducation.com/ 
 

เช็กความพร้อม ผู้นำ-แขกพิเศษ ใครตอบรับร่วมประชุม “APEC 2022” แล้วบ้าง

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยต่อสื่อมวลชนภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ว่า ในการประชุมเตรียมความพร้อม มีการหารือกันทุกมิติ เพื่อเตรียมความพร้อมจัดงานประชุมเอเปกซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และขั้นตอนต่อไปจะหารือเรื่องการเตรียมการการปฏิบัติและซักซ้อม ซึ่งอาจจะกระทบกับประชาชนบางส่วน เพราะจะมีการปิดถนนเป็นช่วง ๆ 

ทั้งนี้เป็นที่น่ายินดี เนื่องจากผู้นำหลายประเทศได้ทยอยตอบรับร่วมเข้าประชุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยยืนยันจะมาด้วยตัวเอง 18 ประเทศ และส่งผู้แทนมาร่วม 4 ประเทศ ส่วนประเทศที่รอการยืนยันมีเพียง 1 ประเทศเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความก้าวหน้าและเรื่องที่น่ายินดีกับประเทศไทยที่เป็นเจ้าภาพการจัดงานสำคัญในครั้งนี้
 

สุดภาคภูมิใจ “ดุริยางค์ทหารบก” ร่วมบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ ในงานระดับโลก 2022 Gyeryong World Military Culture Expo ที่เกาหลีใต้

“ดุริยางค์ทหารบก” นำทีมแสดง “ลิเก” และวงโยธวาทิตในงานระดับโลก 2022 Gyeryong World Military Culture Expo ระหว่างวันที่ 12 -24  ต.ค. 65 ณ สาธารณรัฐเกาหลี ตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหม สาธารณรัฐเกาหลี ในงาน “2022 Gyeryong World Military Culture EXPO” ณ เมืองเกรยอง  ณ สาธารณรัฐเกาหลี

โดยการจัดงานแสดงดนตรีในครั้งนี้ มีวงโยธวาทิตจากประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแสดงอีก 8 ชาติ ได้แก่ “สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, มาเลเซีย, เวียดนาม, ฝรั่งเศส, อินโดนิเซีย, มองโกเลีย และ ไทย” #gyeryongworldmilitarycultureexpo2022

งาน Gyeryong World Military Culture EXPO จัดขึ้นเพื่อเป็นการแบ่งปัน และถ่ายทอดวัฒนธรรม ศิลปะ และสันติภาพของวัฒนธรรมทหารของโลก เพื่อแสดงสันติภาพและความสามัคคีภายในคาบสมุทรเกาหลี เพื่อยกระดับสถานะเกาหลี หลังจากได้ผ่านช่วงสงครามเกาหลี เพื่อแสดงความเคารพต่อมิตรประเทศ ผ่านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทหารของโลก เพื่อสร้างความสงบสุข และคุณค่าของวัฒนธรรมทหารของโลก

โดยรูปแบบการร่วมแสดงดนตรีของไทย จะนำเสนอ 2 รูปแบบ ได้แก่ การร่วมบรรเลงขบวนพาเหรด โดยบรรเลงเพลงมาร์ชกองทัพบก, เพลงมาร์ชราชวัลลภ และ เพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 และการจัดแสดงวงโยธวาทิตสนาม จะเป็นการบรรเลงแฟรแฟร์ เพลงมาร์ชกองทัพบก การแปรขบวน พร้อมบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 “พระมหามงคล” การบรรเลง ประกอบการแสดงศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย ได้แก่ “การแสดงลิเก เรื่อง จันทโครพ” ที่ฝึกซ้อม และอำนวยการแสดงโดย “คุณพ่อพงษ์ศักดิ์ สวนศรี” รวมทั้งการแสดงศิลปะมวยไทยประกอบเพลง “บางระจันวันเพ็ญ” การแสดงเพลงสากลที่นิยม ชื่อเพลง On The Floor การแสดง SPECTRE และ การบรรเลงเพลงที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ได้แก่” เพลงอารีดัง” และ “เพลงลอยกระทง”

'โปรจีน' โปรกอล์ฟหญิงไทย ที่มาแรงที่สุดในโลก ด้วยวัย 19 ปี

Rolex Rankings คือการจัดอันดับนักกอล์ฟหญิงซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2006 และเป็นระบบที่ใช้คะแนนเพื่อจัดอันดับนักกอล์ฟหญิงที่เก่งที่สุดในโลก

 

โดยคะแนนจะคำนวณจากผลงานของนักกอล์ฟในการแข่งขันในช่วงระยะเวลา 2 ปี และการจัดอันดับจะอัปเดตทุกสัปดาห์ ตามกิจกรรมที่เล่นในทัวร์กอล์ฟอาชีพหญิง 10 แห่ง

 

จากทั่วโลก โดยจะมีการสรุป rankings ประจำสัปดาห์ ในแต่ละละทัวร์นาเมนต์

 

ล่าสุดการสรุปผลเมื่อวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้ปรากฎว่า "อาฒยา ฐิติกุล-โปรจีน" (Atthaya Thitikul) โปรกอล์ฟสาวชาวไทย ได้ผงาดขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของการจัดอันดับของ Rolex Rankings โดยขึ้นนำ Jin Young Ko โปรกอล์ฟสาวชาวเกาหลีใต้ที่ตกลงไปอยู่อันดับ 2

 

ตามมาด้วย Lydia Ko อันดับ 3 , Nelly Korda อันดับ 4 , Minjee Lee อันดับ 5 , Brooke M. Henderson อันดับ 6 , Lexi Thompson อันดับ 7 , In Gee Chun อันดับ 8 , Nasa Hataoka อันดับ 9 และ Hyo-Joo Kim อันดับ 10

 

อาฒยา ฐิติกุล ได้กวาดรางวัลการแข่งขันกอล์ฟในระดับนานาชาติมามากมาย รวมทั้งคว้าแชมป์ Ladies European Tour เมื่อปี 2017 ในวัยเพียง 14 ปี นับเป็นนักกอล์ฟที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้แชมป์ในรายการอาชีพ และเพิ่งจะคว้าแชมป์ LPGA Tour เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมาด้วยวัย 19 ปี จึงถือเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดของ LPGA Tour ในรอบ 6 ปี

 

โดยเว็บไซต์กอล์ฟชื่อดังจากอังกฤษอย่าง nationalclubgolfer เคยกล่าวยกย่องว่า อาฒยา ฐิติกุล มีผลงานที่ดีวันดีคืน คว้าแชมป์มาได้อย่างมหัศจรรย์หลายรายการ และยังกล่าวว่า "เธอคือคนที่จะมาเขย่าวงการกอล์ฟโลก"  (The teenage sensation waiting to take over the world)อีกด้วย

 

กล่าวได้ว่า ในชั่วโมงนี้ โปรกอล์ฟหญิง ที่มาแรงที่สุดในโลก ไม่มีใครเกิน "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล อีกแล้ว !

บางทีก็ขี้เกียจไป !!!! ญี่ปุ่นประดิษฐ์เครื่องซักคน

บริษัทเทคโนโลยีญี่ปุ่น ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมห้องน้ำและห้องครัว ออกมาเผยแผนการผลิต ‘เครื่องซักคน’ เพิ่มความสะดวกสบายเอาใจผู้บริโภคที่ขี้เกียจถูตัว ต่อจากนี้แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องลำบาก เดี๋ยว AI อาบให้!

อันที่จริงคอนเซปต์เครื่องซักคนไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อหลายสิบปีก่อนนี้บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่อย่าง ‘ซันโย อิเล็กทริก’ เคยนำเครื่องซักคนตัวต้นแบบที่เรียกว่า ‘Ultrasonic Bath’ ออกมาเปิดตัวในงาน Osaka Expo เมื่อปี 1970 มาแล้ว พร้อมโฆษณาว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วย ‘ล้างทำความสะอาด นวดตัว และเป่าแห้งโดยอัตโนมัติ เสร็จสรรพภายใน 15 นาที’

อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังไม่เคยถูกพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดมาก่อน

ล่าสุด บริษัท ไซเอนซ์ จำกัด (Sciences Co. Ltd.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครโอซากา ได้ประกาศแผนสร้างและผลิตเครื่องซักคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานได้จริงภายใต้ชื่อ ‘Project Usoyaro’ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ภายในปี 2025

บริษัทระบุว่า เครื่องซักคนตัวนี้ใช้ ‘Fine Bubble Technology’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด รวมถึงมีเซ็นเซอร์ตรวจจับและระบบเอไอที่ชาญฉลาด เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับประสบการณ์การอาบน้ำที่แสนวิเศษ

ไซเอนซ์ ย้ำว่า เครื่องซักคนที่พวกเขาพัฒนาขึ้นไม่ได้มุ่งทำความสะอาดร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการให้ผู้ใช้ได้มีพื้นที่สำหรับการ ‘บำบัด’ ผ่อนคลายจิตใจไปกับเสียงเพลงเบาๆ และภาพทิวทัศน์อันสวยงามบนหน้าจอกันน้ำที่ติดตั้งอยู่ภายในเครื่อง

ระบบเซ็นเซอร์จะตรวจวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ (Sympathetic and ParasyMpathetic Nerves) จากนั้นเอไอจะรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างบรรยากาศที่ผู้ใช้จะรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด

Project Usoyaro ถือเป็นโครงการในฝันของ ยาสุอากิ อาโอยามะ (Yasuaki Aoyama) ประธานไซเอนซ์ ซึ่งมีอายุเพียง 10 ขวบตอนที่ ‘ซันโย’ นำเครื่องซักคนตัวต้นแบบมาเปิดตัวที่นครโอซากาเมื่อ 52 ปีก่อน ซึ่งเขารู้สึกตื่นเต้นกับนวัตกรรมใหม่นี้ และตั้งใจที่จะพัฒนาต่อยอดให้สำเร็จหากว่ามีโอกาสทำได้

ไซเอนซ์ ตั้งเป้าผลิตเครื่องซักคนซึ่งใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในปี 2024 และจะนำผลิตภัณฑ์นี้ไปจัดแสดงในงาน Osaka Expo ปี 2025 ด้วย
 

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา  นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดกิจกรรมทางน้ำ

ณ บึงน้ำ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน โดยกล่าวว่า กิจกรรมทางน้ำ เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมและได้รับความสนใจจากประชาชน สามารถทำร่วมกันในครอบครัวส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ส่งเสริมให้เกิดการออกกำลังกาย ประชาชนมีสุขภาพที่ดี และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลจากยาเสพติด

กรุงเทพมหานครได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมดังกล่าว จึงได้จัดกิจกรรมทางน้ำขึ้น ประกอบด้วย พายเรือคยัค จักรยานน้ำ และซับบอร์ด เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านสุขภาพ สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวและชุมชน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ กิจกรรมทางน้ำ ณ บึงน้ำ สวนลุมพินี ดำเนินตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้านพื้นที่สาธารณะ การยกระดับศูนย์กีฬา ศูนย์สร้างสุขทุกวัย ศูนย์เยาวชน ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

ซึ่งสวนลุมพินี มีบึงน้ำขนาดใหญ่ สถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จึงสามารถให้บริการกิจกรรมทางน้ำได้ โดยในช่วงแรกเปิดให้บริการฟรีทุกวัน ระหว่างเวลา 09.00-18.00 น. บริการรอบละ 40 นาที โดยผู้ร่วมกิจกรรมต้องสวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาการเล่น

ใกล้ถึงเทศกาลที่หลายคนรอคอยอย่างวันฮัลโลวีน ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี โดยในวันนี้ มักจะมีกิจกรรมที่ผู้คนต่างออกมาแต่งตัวเป็นภูตผีปิศาจ หรือจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นสถานที่สุดหลอน ต้อนรับเทศกาลนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในยามค่ำคืน

เช่นเดียวกับผู้ใช้ Tiktok @lindah_ahah ที่ได้โพสต์คลิปสุดหลอน เมื่อได้เดินผ่านทางเดินคอนโดฯ ที่ตนอาศัยอยู่ ได้จัดสถานที่ ต้อนรับวันฮัลโลวีนโดยมีทั้งนางรำ ผีหัวขาด หรือแม้กระทั่งการคุมโทนสีไฟให้ดูหลอน แถมยังเพิ่มความหลอนคูณสิบด้วยการเปิดเพลงสร้างบรรยากาศ วันดีคืนดีก็เปิดเสียงเด็กหัวเราะด้วย

โดยเจ้าของโพสต์ได้อธิบายคลิปสุดหลอนว่า ‘คอนโดฯ ฉันชนะเลิศทุกเทศกาล ปีที่แล้วทั้งตั้งศพทั้งเปิดเสียงผู้หญิงหัวเราะทั้งคืน กว่าจะผ่านแต่ละเทศกาลมาได้ ลูกบ้านต้องใจแข็งมากนะ’

ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก ต่างชื่นชมความครีเอทและความเป็นนักกิจกรรมตัวยงของนิติคอนโดฯ แห่งนี้ แถมยังบอกอีกด้วยว่า นิติคอนโดฯ ที่นี่ต้องขยันมาก เพราะจัดเต็มทุกเทสกาลจริง ๆ แถมเจ้าของโพสต์ยังบอกอีกด้วยว่า พอคอนโดฯ รู้ว่าเป็นไวรัล ยิ่งจัดหนักกว่าเดิม มีติดไฟสร้างความหลอนเพิ่มไปอีก…

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก lindah_ahah

INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน….สู่อนาคต

ปตท.กับการขับเคลื่อนประเทศ ก้าวสู่อนาคตด้วยพลังงานทางเลือกใหม่ แก้ปัญหามลภาวะ และให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions)  โดยจัดตั้งกิจกรรม วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ โดยเรียนเชิญเหล่าบรรดา INFLUENCER มากมายหลายสื่อ มาพบปะภายในงาน พูดคุยจัดการพากันก้าวผ่านสู่อนาคต 

ซึ่งกลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) จึงเน้นให้มีการดำเนินธุรกิจด้วยการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ตามเทรนด์หลักที่สำคัญของโลก 2 ด้าน คือ Go Green และ Go Electic ผ่านการปรับวิสัยทัศน์เป็น "Poweiing Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต" มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงต่อยอดนวัตกรรม และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน และในด้านธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจในระดับสากล กลุ่ม ปตท. เล็งเห็นแนวโน้มการใช้งานที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาค จึงมุ่งวางรากฐานขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร (EV Value Chain) ให้ครอบคลุมในทุกมิติเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ให้กับประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการแบบครบวงจรของยานยนต์ไฟฟ้า สนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG
Emissions) ในปี 2065

ปตท. จึงได้จัดตั้ง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขึ้น เพื่อรองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา EV Ecosystem ทั้งของ ปตท. และของประเทศไทยให้ครบวงจร ทำหน้าที่ประสานการลงทุนกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงร่วมลงทุนกับพันธมิตรชั้นนำทั้งใน และต่างประเทศ ช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ EV อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ขับเคลื่อนไทยเป็นฐานการผลิต

บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) บริษัทร่วมทุนระหว่าง อรุณ พลัส และบริษัทหลินยิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ (Foxconn Technology Group) ที่ได้มีการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท JV ARUN PLUS ถือหุ้น 60% Foxconn 40% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบรถยนบบครบวงจรรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี MIH Platform หรือ Open Ev Platforn ซึ่งเป็นโครงข่วงล่างของตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งให้เข้ากับรถยนต์ได้หลายประเภท สามารถช่วยแบรนด์รถยนต์ลดค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลาในการพัฒนาและผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นได้ ราคาที่จับต้องได้ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ HORIZON PLUS จะตั้งบนพื้นที่ 313 ไร่ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัด ชลบุรี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2024) เฟสแรกจะดำเนินการด้วยงบลงทุน ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมผลิต EV สู่ตลาดภายในปี 2567 ในระยะแรกมีกำลังการผลิตที่ 50,000 คัน/ 

ออน-ไอออน (on-ion) ผู้ให้บริการธุรกิจสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ภายใต้ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด มุ่งขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่ทำเลศักยภาพ อาทิ ศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร เป็นต้น ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) รองรับรถยนต์ปลั๊ก- อิน ไฮบริด (Plug in Hybrid) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Battery Electic Vehicle) ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่มีหัวชาร์จ Type 2 โดยใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application รองรับทั้งระบบ Android และ IOS ในการค้นหาสถานี ปัจจุบัน on ion EV Charging Station เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วที่
1. Energy Complex (Enco)
2 EECi วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง
3ศูนย์การค้า 6 แห่งของ กองทรัสต์อัลไล ได้แก่ คริสตัล ดีใชน์ เซ็นเตอร์ / เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา / เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ / เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ / เพลินนารี่ มอลล์ วัชรพล / สัมมากร เพลส
รามคำแหง
4. ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 สาขา ใน 18 จังหวัดที่ทั่วประเทศ โดยพร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการ
สถานีแรกที่ศูนย์การค้า CentralWorld กรุงเทพฯ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 และจะทยอยเปิดให้บริการครบทั้ง
37 สาขา ได้ในช่วงต้นปี 2566

อีวี มี (EVme) แพลตฟอร์มที่พร้อมมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของ EV แบบครบวงจร ด้วยบริการ Subscription รายแรกในประเทศไทยโดย บริษัท วี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) ผ่าน Application Evme ที่จะทำให้การใช้งาน :V เป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริษัท นูออโว พลัส จำกัด (NUOVO PLUS) บริษัทร่วมทุนระหว่าง อรุณ พลัส และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ชินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้าและพลังงงานอัจฉริยะของกลุ่ม ปตท. ในสัดส่วนร้อยละ 51 และ 49 เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออนฟอสเฟต ด้วยนวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่ SemiSolid แห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ที่มีจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานสูง มีอายุการใช้งานที่ ยาวนานกว่า 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันว่า กลุ่ม ปดท. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อรักษาความมั่นคง พลังงานของประเทศ และพร้อมเป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศ EV ครบวงจร และผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการผลิต EV ของภูมิภาคอาเซียนได้ต่อไป

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตน้ำมัน แล้วไม่พอต่อการใช้งานของคนในประเทศ

ราคาน้ำมันที่มีการผันผวนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเนื่องด้วย เหตุผลใดก็ตาม ย่อมส่งผลต่อความไม่พอใจของประชาชนมาตลอด และเมื่อไม่พึงพอใจ ก็จะเกิดการเปรียบเทียบ 
ในวิกฤติราคาน้ำมันทุกๆครั้ง ดังที่จะเห็นจนคุ้นตา คือการที่มักมีบางกลุ่ม เปรียบเทียบราคาพลังงานไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมาเลเซีย

เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีกรณีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ที่ลงทุนเดินทางไปถึงมาเลเซียเพื่อเติมน้ำมันที่นั่น ก่อนจะเปรียบเทียบราคาน้ำมันของไทยกับมาเลเซียลงสื่อโซเชียล ส่งผลให้รัฐบาลมาเลเซียสั่งการให้มีการตรวจสอบผู้มาขอรับบริการว่าเป็นพลเมืองมาเลเซียหรือไม่ เนื่องจากราคาน้ำมันของมาเลเซีย ได้รับการชดเชยราคาโดยตรงด้วยภาษีของคนมาเลเซีย

แต่หากมองย้อนกลับไปที่ประเทศลาว จะเห็นว่าประเทศลาวนั้น มีราคาน้ำมันที่สูงกว่าไทยตลอด เนื่องจากว่าลาวนั้น ไม่มีแหล่งเชื้อเพลิงของตนเอง ราคาน้ำมันในลาว จึงเป็นราคาที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากประเทศไทยเข้าไปร่วมด้วย เป็นสาเหตุให้มีราคาที่สูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

นั่นทำให้คนลาวบางส่วน เข้ามาเติมน้ำมันในประเทศไทย และประเทศไทยก็สั่งห้ามเช่นเดียวกับมาเลเซีย

---

หันกลับมาพิจารณาถึงที่มาของราคาน้ำมัน ประเทศที่มีความสามารถในการขุดเจาะน้ำมันได้เอง และกลั่นน้ำมันได้เอง จะมีราคาน้ำมันสำหรับการใช้ในประเทศที่มีราคาถูกลงมากกว่าประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานทั้งหมด

แต่จะถูกมากน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ประเทศนั้น ๆ มีปริมาณน้ำมันสำรอง และกำลังการผลิตมากเพียงพอที่จะตอบสนองของคนทั้งประเทศหรือไม่

จากข้อมูลของ Worldometer ระบุว่า ใน พ.ศ. 2559 มาเลเซียมีปริมาณน้ำมันสำรอง 3,600,000,000 บาร์เรล มากเป็นอันดับที่ 28 ของโลก ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 404,890,000 บาร์เรล อยู่อันดับที่ 50 อีกทั้งมีปริมาณน้อยกว่ามาเลเซียถึง 8.9 เท่า

นอกจากนี้ กำลังการผลิตของมาเลเซียนั้น เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ สำหรับประชากรเพียงแค่ 32 ล้านคน มีน้ำมันเหลือใช้มากถึงวันละ 54,168 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ไทย ทั้ง ๆ ที่ผลิตได้น้อยกว่า แต่กลับมีอัตราการบริโภคที่สูงกว่า จนทำให้กำลังการผลิตต่อวัน น้อยกว่าอัตราการบริโภคมากถึง 770,671 บาร์เรลต่อวันเลยทีเดียว

---
แต่ถึงแม้มาเลเซียจะมีกำลังการผลิตน้ำมันที่ล้นเหลือ แต่มาเลเซียก็ยังมีการนำเข้าน้ำมันมากถึง 197,489 บาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมัน 390,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันในมาเลเซียเองก็ผันผวนตามราคาน้ำมันของโลกด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบมากเท่ากับประเทศไทยนั่นเอง

จากรายงานของ Worldometer ระบุว่า มาเลเซียมีน้ำมันสำรอง 0.2% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันสำรองของโลก (1,650,585,140,000 บาร์เรล อ้างอิงข้อมูล พ.ศ. 2559) ในขณะที่ประเทศไทย มีปริมาณน้ำมันสำรองเพียง 0.02345% เพียงเท่านั้น

การที่จะนำประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับมาเลเซีย ในเรื่องราคาน้ำมัน และความพยายามที่จะผลักดันให้ประเทศไทย ดำเนินนโยบายราคาน้ำมันแบบมาเลเซียนั้น จึงไม่ต่างอะไรกับการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย

---

การดำเนินนโยบายการบริหารราคาและกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการกดราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลกถึง 299,953,000,000 บาร์เรล ซึ่งมากกว่ามาเลเซียถึง 83 เท่า แต่เนื่องด้วยรัฐบาลเวเนซุเอลาเลือกที่จะผูกขาดการผลิตน้ำมันของประเทศเอาไว้กับรัฐวิสาหกิจเพียงรายเดียว เพื่อส่งเสริมนโยบายประชานิยมของรัฐบาล ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาอ่อนแอ จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายลง ในเวลาต่อมา

ในขณะที่ประเทศไทย กลุ่มบริษัทพลังงานไทย อาทิเช่น ปตท. และบางจาก มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาพลังงานของประเทศ มีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่นโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายส่งเสริมพัฒนาพลังงานของกระทรวงพลังงาน ทำให้โครงสร้างพลังงานของประเทศไทยนั้น มีความมั่นคงแข็งแรง

โดยสรุปแล้ว ประเทศไทยของเรา ไม่ได้มีแหล่งน้ำมันที่มากเพียงพอต่อความต้องการของประเทศเลย การนำเข้าน้ำมัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่ประเทศไทยของเรา มีกลุ่มธุรกิจพลังงานสัญชาติไทย ทำให้เรามีศักยภาพในการพัฒนาประสิทธิภาพของพลังงานได้ด้วยตัวเอง มีองค์ความรู้เป็นของตัวเอง

พวกเราทุกคนจึงควรจะเข้าใจในสภาพความเป็นจริงด้านพลังงานของประเทศ เพื่อการวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลและกลุ่มบริษัทพลังงานอย่างมีเหตุผล เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างถูกต้อง ตามระบอบประชาธิปไตย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top