Friday, 10 May 2024
NEWS

หญิงไทย ระดับโลก นิตยสาร Forber ยก “แอน จักรพงษ์” สตรีข้ามเพศ ทรงอิทธิพลสุดในโลก

นิตยสาร Forber ยกย่อง “แอน จักรพงษ์” เป็นสตรีข้ามเพศ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก หลังถือครองธุรกิจ Miss Universe Organization (MUO)

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ล่าสุดดังไกล สู่ระดับโลก เมื่อนิตยสาร Forbes (ฟอร์บส์) ได้ยกย่องให้ “แอน จักรพงษ์” เป็นสตรีข้ามเพศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก หลังจากการเข้าถือครองธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe Organization(MUO) ส่งผลให้ “แอน จักรพงษ์” กลายเป็นสตรีข้ามเพศคนแรก และคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเจ้าขององค์กรนางงามจักรวาล


ทั้งนี้นิตยสาร Forbes (ฟอร์บส์) เปิดเผยว่า “แอน จักรพงษ์” ได้ก้าวข้ามอุปสรรคและพยามผลักดันตัวเอง ให้ก้าวไปสู่จุดสูงสุด ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงข้ามเพศ ในการใช้พลังในทางที่ถูกต้อง เพื่อทรานส์ฟอร์มตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น สร้างสิ่งที่ดีให้กับโลกต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบความสำเร็จของ Miss Universe ซึ่งเป็นคอนเทนต์ระดับโลกให้เป็นตำนาน


ส่วนในเชิงของธุรกิจ การเข้าถือครองกิจการในครั้งนี้จะเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอให้กับ เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “เจเคเอ็น”  ในด้านกิจการโทรทัศน์และการค้าคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจการค้าคอนเทนต์ระดับโลกอย่างแท้จริง การเปลี่ยนผู้ถือครองธุรกิจมาสู่เจเคเอ็น ถือเป็นการสานต่อปณิธานและคุณค่าอันยาวนานกว่า 70 ปี ขององค์กรนางงามจักรวาล รวมถึงการต่อยอดในทางธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ภายใต้ แบรนด์ MISS UNIVERSE และยังจะทำให้ Miss Universe เป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อน ซอฟต์ พาวเวอร์ของไทยไปสู่ระดับโลก ที่สามารถส่งผ่านวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว อาหารการกิน แฟชั่น เครื่องแต่งกาย จะถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ที่มา : https://www.prachachat.net/spinoff/entertainment/news-1116625

หล่อ สวย ด้วยจิตใจ หนุ่ม-สาว จุฬาฯ ครองใจกรรมการ คว้าตำแหน่งกุลบุตรและกุลธิดา ประจำปี 2565

สภากาชาดไทย จัดประกวดหนุ่มหล่อสาวสวยด้วยจิตใจ ประจำปี 2565 เพื่อสร้างต้นแบบเยาวชนคนดี ขับเคลื่อนสังคม

(12 พฤศจิกายน 2565) เสร็จสิ้นกันไปแล้วสำหรับการคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดา ประจำปี 2565 ซึ่งจัดขึ้นโดยสภากาชาดไทย ซึ่งมีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น 242 คน และผ่านเข้ารอบค่ายคัดสรร จำนวน 96 คน ซึ่งผลการตัดสินโครงการสรรหากุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ได้แก่ 
1.ตำแหน่งกุลบุตรกาชาด นายณรงค์ชัย แสงอัคคี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตำแหน่งรองกุลบุตรกาชาด นายณพลเชษฐ์ เจริญรัตน์ บริษัท Mali Family Health

2.ตำแหน่งกุลธิดากาชาด นางสาวพัทธ์ธีรา หิรัญสิรภัทร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาขาดไทย
ตำแหน่งรองกุลธิดากาชาด นางสาวธนธร ศิระพัฒน์ Shanghai University of Traditional Chinese Medicine

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีประกาศผลการตัดสิน กุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จังหวัดฉะเชิงเทรา 

ซึ่งนางสุนันทา ศรอนุสิน  ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทย  กล่าวว่า การคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งขณะนั้นสภากาชาดไทย ดำเนินการคัดสรรเยาวชนสุภาพสตรีโดยใช้ชื่อว่า “ธิดากาชาด” ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น  “กุลธิดากาชาด” ในปีพุทธศักราช 2535 กระทั่งปีพุทธศักราช 2543 การจัดกิจกรรมคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และ ไม่จำกัดเพศ ด้วยเหตุผลที่ว่าการสร้างเยาวชนจิตอาสา ควรให้โอกาสที่จะดึงพลังของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชาย ให้มาเป็นกำลังสำคัญให้แก่ประเทศชาติ เพื่อขับเคลื่อนงานจิตอาสา

โดยจะเป็นต้นแบบของงานด้านอาสาสมัครของสภากาชาดไทย และพร้อมจะเป็นแบบอย่างและเป็นผู้แบ่งปันให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมสืบต่อไป จึงใช้ชื่อการคัดสรรว่า “กุลบุตรและกุลธิดากาชาด” เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับการคัดสรรกุลบุตรและกุลธิดากาชาด เป็นการสรรหาเยาวชนคนดีมีคุณธรรม เก่ง รอบรู้ และเป็นที่พึ่งได้ และมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมตามคุณสมบัติ 3 ด้าน ได้แก่  Smart คือเยาวชนที่มีไหวพริบปฏิภาณ ทันโลกทันสมัย มีเอกลักษณ์ความเป็นผู้นำในตนเอง และกล้าแสดงออกทางความคิดและการกระทำอย่างสร้างสรรค์  Strong คือ เยาวชนที่มีจิตอาสาอย่างแรงกล้า มีคุณธรรม มีความรู้ความเข้าใจในองค์กรและพันธกิจของกาชาด บทบาทของการเป็นอาสาสมัคร และมีความพร้อมทางกายและใจสำหรับการปฏิบัติภารกิจเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขร่วมกับองค์กรสาธารณกุศลระดับชาติ เช่น “สภากาชาดไทย” และ Samart (สามารถ) คือเยาวชนที่มีศักยภาพดำเนินชีวิตได้อย่างพอเพียง เพื่อประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม บนพื้นฐานของการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ทัศนคติและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์

ในปีนี้ สำนักงาน ยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ได้กำหนดจัดโครงการสรรหากุลบุตรและกุลธิดากาชาด ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2565  ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีปณิธานมุ่งหวังที่จะเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย ครบ 66 ปี

เสรีภาพที่แตกต่าง ความกร่าง 'ม็อบไทย' แหกกฎเกณฑ์ทุกการชุมนุม

จะว่าไปไทยนี่แหละที่ประท้วงได้อย่างเสรีทุกที่ทุกเวลา ใครอยากประท้วงก็ปลุกระดมออกไปปิดถนน ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดและมีขอบเขตข้อบังคับ แต่ดูเหมือนว่าการประท้วงที่ผ่านมาของคนบางกลุ่มจะไม่แยแสใด ๆ ต่อกฎหมายที่มีเลยแม้แต่น้อย

.

คนไทยบางกลุ่มชอบเปรียบเทียบไทยกับบางประเทศที่พัฒนาแล้วในซีกโลกตะวันตก รวมทั้งบางประเทศในเอเชีย อย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ งั้นลองมาดูกฎและข้อห้ามในการประท้วงก่อม็อบในสิงคโปร์กันบ้างว่ากำหนดไว้อย่างไร 

.

หากดูระเบียบการประท้วงในสิงคโปร์แล้ว จะเห็นว่าเข้มงวดกว่าบ้านเรามาก เพราะไม่สามารถแบกป้ายด่าทอลงถนนแบบเรา หากต้องไปจัดในบริเวณที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้เท่านั้น นั่นคือ สปีกเกอร์ คอนเนอร์ ที่ตั้งอยู่ภายในสวน Hong Lim Park

.

ที่นี่คือสถานที่เดียวที่อนุญาตให้คนสิงคโปร์และผู้ที่ถือบัตรพำนักถาวร ใช้เป็นสถานที่รณรงค์ จัดแสดงนิทรรศกาล รวมถึงการประท้วงได้อย่างถูกกฏหมาย เปิดให้ใช้พื้นที่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 2000 โดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาล แต่ต้องลงทะเบียนแจ้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่สถานีตำรวจ Kreta Ayer Neighbourhood Police Post  ล่วงหน้า  30 วัน 

.

แต่กระนั้นยังมีกฎระเบียบหยุมหยิมอีกมากมาย เช่น ต้องจัดกิจกรรมระหว่าง 07.00น.-19.00น. ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงทุกชนิด ห้ามคนต่างชาติเข้าร่วม คนที่ประท้วงได้ต้องเป็นพลเมืองสิงคโปร์เท่านั้น ห้ามติดป้ายหรือข้อความที่สื่อถึงความรุนแรง ส่อเสียด และลามกอนาจาร ที่สำคัญอีกข้อคือต้องใช้ภาษาสี่ภาษา นั่นคือ อังกฤษ, มาเลย์, จีน และทมิฬ 

.

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ขนาดประท้วงคนเดียวยังโดนจับได้ เคยมีกรณีหนึ่งเกิดขึ้น นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งประท้วงโดยไม่ขออนุญาต ด้วยการยืนอยู่นอกสถานีตำรวจ ถือป้ายที่มีใบหน้ายิ้มคนเดียว ทางการตั้งข้อหาว่ามีส่วนร่วมในการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากถูกตัดสินว่ามีความผิด จะถูกปรับสูงถึง 5,000 เหรียญสิงคโปร์ ราว 112,880 บาท

.

หันมาดูบ้านเราบ้าง การประท้วงทุกครั้งไม่เคยอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ลากยาวไปเป็นวันๆ หรือหลายเดือนอย่างที่เห็นอยู่เสมอ ส่วนเรื่องห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ก็ดูเหมือนไม่มีใครทำตามในไทย เรื่องห้ามคนต่างชาติเข้าร่วม บางทีเราได้เห็นคนเขมรหรือเมียนมาเนียนมาร่วมบ่อยๆ โดยเฉพาะการประท้วงของกลุ่มสามนิ้ว ข้อห้ามใช้ถ้อยคำลามกหรือส่อเสียด แต่การประท้วงในไทยเกลื่อนไปด้วยถ้อยคำด่าทอหยามหมิ่นสถาบันอันเป็นเสาหลักในประเทศอย่างลามกหยาบคายจนขนลุก เรื่องภาษานั้นก็เห็นแสดงออกทุกภาษา เวลามีการประท้วงก็มีคนโบกธงต่างชาติหรือถือป้ายภาษาต่างๆ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับจุดประสงค์ในการประท้วงเลย

.

ส่วนเรื่องการจำกัดพื้นที่ให้ประท้วงแค่ในสวนสาธารณะ แทบทุกม็อบไม่เคยทำได้ มีการเลื่อนไหลไปสร้างความเสียหายตามถนนหนทางและบ้านเรือนประชาชนอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วก็น่าตลก  อยากมีสังคมอารยะ แต่ไม่เคยทำตามได้ตามแบบประเทศเหล่านั้น

.

นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งประท้วงโดยไม่ขออนุญาต ด้วยการ ยืนอยู่นอกสถานีตำรวจ ถือป้ายที่มีใบหน้ายิ้มคนเดียว ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนร่วม ในการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิด จะถูกปรับสูงถึง 5,000 เหรียญสิงคโปร์ ราว 112,880 บาท 

.

ล่าสุดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ ออกไอเดียให้มาประท้วงช่วงเอเปคที่ลานคนเมือง โดยกล่าวว่าเรามีพื้นที่ให้ได้แสดงออก และถ้าอยู่ในกรอบเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สวยงามที่เราจะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เป็นสิ่งที่ดี หากอยู่ในพื้นที่ 'ลานคนเมือง กทม.' จะเป็นผู้ดูแล ถ้าชุมนุมอยู่ในพื้นที่อื่น ฝ่ายความมั่นคงดูแล

.

งั้นขอถามกลับว่าที่ผ่านมา ม็อบทำได้ตามที่ชัชชาติพูดไหม ภาพจำแถวดินแดงยังติดตาไม่หาย หรือถ้าอยากเอาอย่างสิงคโปร์ อยากย้ายไปอยู่ที่นั่นก็ได้นะ เจอคดีรัวๆ พร้อมต้องจ่ายเงินก้อนโต อาจจะตาสว่างกว่าเดิม 

เมื่อคนถิ่นออกปาก "ประเทศนี้ไม่มีอะไรให้หวังอีกแล้ว"

เมื่อเร็ว ๆ นี้ โลกออนไลน์ได้แชร์คลิปวิดีโอ (https://fb.watch/gINmbtDpUc/) ของ ‘น้องแตงโม’ หรือ ‘จูเลียน’ หนุ่มหล่อชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในไทย กว่า 5 ปี ผู้มีพื้นเพเป็นชาวเมืองซานฟานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเขาชื่อเล่น ‘แตงโม’ ให้กับตัวเอง เพราะเรียกง่าย พร้อมเล่นมุกว่า "ไม่อยากเป็นฝรั่งแล้ว อยากเป็นแตงโมแทน" จนกลายเป็นที่ติดตามของคนไทยในโลกโซเชียลเป็นจำนวนมาก

.

โดยคลิปดังกล่าวพาดหัวข้อว่า ‘แตงโมรู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาไทยหลังจากกลับไปเมกามา 2 เดือน’ ซึ่งในคลิปนั้นมีการพูดถึงความรู้สึกของ แตงโม ที่ทำให้เขารู้สึกหมดหวังกับการใช้ชีวิตที่ประเทศบ้านเกิด และมองว่าประเทศไทย สังคมไทย คนไทย เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว

.

ถามว่าคิดถึงไหม คิดถึงแน่นอน เพราะไม่ได้กลับอเมริกามา 4 ปี แต่ว่ารอบล่าสุดที่โมกลับอเมริกา กูว่าไม่มีความหวังกับประเทศกูแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ยังมีหวังอยู่นิดนึง แต่กลับไป กูได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง แบบทำไมเป็นอย่างงี้วะ

.

เป็นเพราะว่า ล่าสุดอยู่อเมริกา กูยังเด็ก กูยังไม่รู้เรื่องอะไร หรือว่าเพราะเป็นบ้านเมืองแย่ลง ก็มีส่วนแหละ

.

ผู้นำตอนนี้ก็หลาย ๆ เรื่อง เรื่องการเมือง เรื่องค่าครองชีพ อาหารก็แพง ที่ไทยก็แพงขึ้น แต่ที่อเมริกาก็แพงขึ้นหลาย ๆ เท่า 

.

อย่างที่บ้านกู เอาง่าย ๆ โจรก็เยอะขึ้น ค่ารองชีพก็แพงขึ้น กฎหมายก็เข้มขึ้น คนไร้บ้านก็เยอะขึ้น เหมือนความยุติธรรม ความเสรีที่เป็นของอเมริกา (Freedom) มันแทบจะไม่มีแล้ว 

.

อันนี้เราพูดถึง แคลิฟอร์เนีย หรือ นิวยอร์ก หรือพวกรัฐใหญ่ ๆ ดัง ๆ จะแย่กว่ารัฐกลาง ๆ ที่ยังมีความ slow life อยู่ แต่เชื่อเถอะว่า อีกไม่นาน ทุกรัฐก็จะแย่ตาม เพราะแต่ละรัฐมีผู้นำแยกกันไปอีก 

.

เอาเป็นว่า กูไม่มีความหวังกับประเทศกูแล้ว มันไม่น่าอยู่เลย บ้านกูอ่ะ กลับกันไม่มีอะไรที่กู ทำในไทยไม่ได้ เผลอ ๆ ในไทยอาจจะมีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า ไทยเสรีกว่า น่าอยู่มาก

.

กูไม่เอ่ยชื่อนะ มีรุ่นพี่อยู่คนนึง ไปมาหลายประเทศแล้ว เขาพูดอังกฤษได้ เขาพูดไทยได้ เขาก็เก่งแล้ว เขาก็ไปหลายที่ เขายังบอกอยู่ว่า ประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้ว

.

เขาเคยไปอเมริกา เขาบอกว่า อเมริกาไม่เหมือนอย่างที่คิด ไม่เห็นอย่างที่เหมือนใน Social พวก YouTuber ที่ไปถ่าย สุดท้ายเขาบอกว่า ประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้ว

.

คนอเมริกาเขาเก่ง ฝรั่งเขาเก่ง สิ่งที่เห็นใน Social เป็นด้านแบบ โลกสวย!!

.

ส่วนคนไทยที่ไป Work and Travel อยู่กับ Agency ก็จะอยู่กับคนไทย และทำงานร้านอาหารไทย เค้าจะอยู่แบบรัฐกึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งความจริงในความคิดเห็นส่วนตัว คุณไม่ได้ Experience อเมริกาของจริง มันก็เหมือนกับ ฝรั่งที่ย้ายมาอยู่ไทยแล้วอยู่สุขุมวิท ก็อยู่แต่ตรงนั้น หรือ พัทยา คือ เขาอยู่แค่ตรงนั้น จะไม่ได้สัมผัสกับ Culture ที่แท้จริงของอเมริกา

.

แต่ถ้าลองไปอยู่จริง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะคิดเหมือนกัน คือ คุณจะคิดถึงไทย เพราะตอนผมกลับไปค่าครองชีพตกวันละ 60-100 เหรียญ ผมใช้เงินวันละร่วม 3 พันบาท แต่อย่าไปอ้างว่าที่นั่นให้เงินเดือนเยอะนะ มันไม่เกี่ยวกันเลย ตอนนี้มันแพงจริง แต่ก่อนข้าวจานนึงแค่ 10 เหรียญ ประมาณ 200 – 300 บาท อันนั้นเข้าใจ เอาเป็นว่าอยู่เมืองไทยเงิน 1 พันบาท กูอยู่ได่ 2-3 วัน

.

เอาง่าย ๆ ตอนนี้ ขนาดคนอเมริกายังเดือดร้อน อย่างคนบ้านกูอ่ะ คนย้ายออกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ไปรัฐอื่น ที่ภาษีลดลง แต่ทุกรัฐจะพังทลายไปหมด เชื่อกูดิ กูมั่นใจอีก 5 ปี นอกจากเปลี่ยนผู้นำ คนที่ไม่ใช่ ‘ไบเดน’ คนที่ดีกว่านั้น กูพูดงี้เลย ไปเที่ยวยุโรปก่อน 

.

ฉะนั้นสำคัญคนไทยที่อยากไปอเมริกา ก็พูดยาก ถ้าอยากหาประสบการณ์ที่อเมริกา เพื่อที่จะฝึกภาษา หาเพื่อนใหม่ หางาน มันก็ได้แหละ แต่ความเป็นจริง คุณต้องนึกถึงตั้งหลายอย่าง เรื่องความปลอดภัยของคุณ ที่อเมริกา ก็ไม่ได้ปลอดภัยตอนนี้

.

คุณต้องวางแผนให้ได้ว่า 1 วันต้องทำอะไรบ้าง ทำงานอะไร และมีเพื่อนด้วย ไม่ใช่ว่าเดินโง่ ๆ ไปหาเพื่อนแล้วเที่ยว มันอันตราย คุณต้องนึกถึงคนแถวนั้นว่าเค้าอะไรยังไง ไม่ใช่ว่า อยู่ ๆ มีคนไร้บ้านมาทักทาย ซึ่งจริง ๆ มันมาขอเงิน แล้วมากระทืบเรา พอแจ้งตำรวจ ตำรวจก็ไม่มาช่วยก็มีคนเข้าใจว่า อเมริกานี่ดี เสรี เช่น บางเรื่องเห็นฝรั่งทำ แล้วไม่เห็นเป็นไรเลย ก็อยากทำบ้าง พอทำไม่ได้ก็เป็นประเด็นเรียกน้อง อันนี้ กูขอร้องเลย คนไทยทำถูกแล้ว อันนี้เป็นฝรั่งพูดเองนะ คุณทำถูกแล้ว Culture วัฒนธรรมคุณทำถูกแล้ว บางอย่างคุณเห็นใน Social เค้าทำกัน แล้วคุณก็ทำตาม มันไม่ได้เป็นมารยาทนะ มารยาท ความเคารพ คนไทยนี่สุดยอดแล้วนะ 

.

ยิ่งไปกว่านั้นหากมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่คิดแบบไหน อยู่ฝั่งไหน สุดท้ายคนไทยจะช่วยเหลือกัน คุณอาจจะเจอคนที่เค้ามีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนมึง อาจจะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อาจจะสนับสนุนฝั่งนี้ ฝั่งนั้น แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนไทยช่วยกัน คนไทยรักกัน แต่ที่อเมริกาไม่มืสิ่งเหล่านี้ มีแต่ทะเลาะกัน 

.

 

สุดท้ายคุณไป Research ไปหาข้อมูลดีๆ ก่อนคุณจะทำอะไรสักอย่าง แต่ผมจะบอกให้ว่า อเมริกาไม่น่าอยู่ตอนนี้ อยู่ไทยเสียกว่า ปลอดภัยกว่า คนไทยนิสัยดี

.

ที่มา: https://fb.watch/gJLQhWqpQg/

ดึงสติเด็ก ๆ ก่อนโดนใส่ตรวน คิดป่วน APEC จุดจบอยู่ที่คุก

ยังเจ็บไม่พอ จะขออีกสักทีหรือไง..ย้อนรอย 10 ปีล้มการประชุมอาเซียน 

.
ในขณะที่คนไทยทุกคนต่างตื่นเต้นกับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่คนกลุ่มหนึ่งกลับวางแผนการและระดมพล เพื่อขัดขวางไม่ให้การประชุมในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น  

.

การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามนิ้ว เพื่อขัดขวางการประชุมปรากฎในเพจสำนักข่าวราษฎร กลุ่มราษฎรหยุด APEC2022 นำโดยสมบูรณ์ กำแหง, ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ว่าจะจัดการชุมนุมคู่ขนานการประชุม APEC 2022 โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีไร้ความชอบธรรม ไม่คู่ควรเป็นประธานเอเปค หยุดอ้างเอเปคเพื่อผลักดันนโยบายสร้างหายนะแก่ประชาชน และมีข้อกล่าวหาตามมาอีกมากมาย แต่สรุปคือกลุ่มนี้จะก่อม็อบในช่วงที่มีการประชุมเอเปกนั่นเอง 

.

การแถลงข่าวของแกนนำสามนิ้วกลุ่มนี้จัดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยมีแนวร่วมอย่าง Amnesty International Thailand เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือระดมพลเรียกให้ชาวเมียนมาในไทยออกมาประท้วงในการประชุมเอเปกหนนี้ มีการพ่วงโยงเข้ากับสถานการณ์ในพม่า และร่วมลงชื่อ เพื่อนำรายชื่อไปยื่นให้กับรัฐบาลไทย โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหาแนวทาง “หยุดการนองเลือดในเมียนมา” 

.

รัฐบาลเมียนมาถึงกับออกประกาศเตือนชาวเมียนมาในไทยห้ามเคลื่อนไหวในช่วงการประชุม APEC 2022 นับเป็นการแตะเบรกเรื่องนี้ทันทีทันควัน  

.

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงต้องมีการโยงเรื่องเมียนมาด้วย อเมริกานั้นหนุนหลังม็อบพม่าผ่านเอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวในไทย การเคลื่อนไหวของ NGO สายพันธุ์เมียนมา ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทย ที่มักรายงานความเคลื่อนไหวและกิจกรรมในเมียนมาต่อผู้สื่อข่าวตะวันตก โดยใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดแถลงข่าว  

.

เงินบริจาคจากบางองค์กรตะวันตกไหลเข้ามาทางประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจกรรมที่จัดขึ้นในเมืองไทยหรือไหลไปชายแดน ขั้นตอนที่งบประมาณผ่านทางเมืองไทยนี่แหละ ที่ NGO สายพันธุ์ไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นผู้ร่วมจัดกิจกรรม หรือประสานงานให้กิจกรรมเกิดขึ้นมา พอมองเห็นภาพแล้วใช่ไหมล่ะ

.

คนเหล่านี้ไม่เคยคิดถึงผลเสียต่อประเทศชาติ เหมือนไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ม็อบเสื้อแดงบุกล้มการประชุมนานาชาติอาเซียนที่พัทยา แม้จะผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าคนไทยทุกคนยังไม่ลืมเลือน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นทำลายภาพลักษณ์ของชาติอย่างย่อยยับ 

.

เริ่มต้นที่ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ เลขาธิการ นปช. ซึ่งเป็นแกนนำในการชุมนุม สั่งการให้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรองนำมวลชนบุกล้มการประชุมอาเซียน โดยเปิดเผยว่าได้เงินมาจากณัฐวุฒิ ใสเกื้อจำนวน 180,000 บาท เพื่อล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาในปี 2552

.

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้นสั่งยุติการประชุม ทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มเปิดการประชุม และเชิญผู้นำอาเซียนทั้งหมดเดินทางกลับทันที ส่วนแกนนำ นปช. ที่พามวลชนบุกเข้าไปวันนั้น ถูกศาลจังหวัดพัทยาตัดสินจำคุก 13 คน ในปี 2558 

.

แกนนำนปช.จำนวน 13 คน ที่ศาลจังหวัดพัทยาตัดสินจำคุก ประกอบด้วย 1. นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง 2. นายนิสิต สินธุไพร 3. นายพายัพ ปั้นเกตุ 4. นายวรชัย เหมะ 5. นายวันชนะ เกิดดี 6. นายพิเชฐ สุขจินดาทอง 7. ศักดิ์ดา นพสิทธิ์ 8. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (อาภารัตน์) 9.นายนพพร นามเชียงใต้ 10. นายสำเริง ประจำเรือ 11. นายสมยศ พรหมมา 12. นพ.วัลลภ ยังตรง 13. นายสิงห์ทอง บัวชุม 

.

แต่ภาพพจน์ของประเทศไทยที่เสียหายอย่างใหญ่หลวงในครั้งนั้น ยากที่จะกอบกู้คืนกลับมาในสายตาชาวโลกได้โดยง่าย การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติจากประชาคมโลกครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะลบล้างทุกคำครหาในอดีต และเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยก้าวสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ถอยหลังเข้าสู่วังวนความแห่งความขัดแย้งเช่นในอดีตอีกต่อไป 

ปี 1 มรภ.เชียงใหม่ กับกล้องคู่ใจ รับถ่ายภาพ นทท. งานประเพณีเชียงใหม่

โอ้ววว เก่งจริงเจ๋งจริง เด็กดีมีของต้องยกให้เธอ

.

หลายวันก่อนเรื่องนี้กลายเป็นกระแส หลังจากมีคนนำภาพสาวน้อย นศ.ปี1 เธอยืนถือป้ายอยู่งานประเพณีที่คลองแม่ข่าของจังหวัดเชียงใหม่ โดยในป้ายเขียนว่า

.

รับจ้างถ่ายภาพ เริ่มต้น 30 ภาพ 50 บาท หากไม่ชัวร์ ถ่ายให้ฟรีก่อน 5 ภาพ ค่อยตัดสินใจ แต่งโทนให้ฟรีไม่คิดเพิ่ม ขอไฟล์แต่งภาพเองได้”

.

ก่อนที่น้องจะทิ้งช่องทางติดต่อไว้

.

ภาพนี้ถูกแชร์ออกไป มีทั้งคนชื่นชมและสนับสนุนน้อง พร้อมกับบอกว่า น้องคิดราคาถูกเกินไป อยากให้ขึ้นราคาอีกนิด เพราะคุณภาพที่น้องถ่ายมาก็ไม่ได้ไก่กาเลย

.

แต่บางมุมก็บอกว่าน้องเรียกราคาที่ถูกเกินไปทำให้วงการช่างภาพเสียราคา

.

ล่าสุดในเฟซบุ๊กส่วนตัวของน้องชื่อ Chon Tongjarm ได้โพสต์ชี้แจงว่า ที่น้องคิดราคาถูกเพราะถือเป็นการฝึกฝีมือการถ่ายภาพไปด้วย และอีกอย่างไม่อยากคิดราคาสูงเพราะตนก็ยังไม่เก่งมาก

.

และบอกอีกว่า

.

-รับถ่ายประจำที่คลองแม่ข่า 30 รูป 50 บาท

-ถ่ายนอกสถานที่ แค่เฉพาะในเชียงใหม่

(ให้คุยตกลงในแชทส่วนตัว)

.

****ยังไม่รับงานถ่ายสินค้า อาหาร หรือ

งานต่างจังหวัดนะคะ ไม่สะดวกไปค่ะ****

.

การส่งภาพ

จะส่งรูปเป็นไฟล์ที่แต่งภาพให้แล้วค่ะ

หากต้องการรูปไฟล์ RAW แจ้งด้วยนะคะ

ช่องทางการติดต่อ

.

***น้องขออนุญาตงดโทรตั้งแต่เวลา 19:00

.

IG : stupid_cat_phot เป็นต้นไปนะคะ ไม่สะดวกรับจริงๆค่ะ***

Facebook : Chon Tongjarm

Line : 094-621-4441

.

หากสงสัยสอบถามแชทถามเพิ่มเติมได้นะคะ

.

ใครแวะไปเชียงใหม่ อย่าลืมไปสนับสนุนคนเก่งนะคะ

.

แหล่งที่มา : https://www.ejan.co/ejanjaxlax/msrko4ut98?fbclid=IwAR1p4rDav3p0XyWv3D9UT1xYGRciXaii74yBC_fWTK94nhUNgEBoQej4b4A

เด็กไทยเก่ง คว้าแชมป์ทำเค้ก ที่ประเทศเบลเยี่ยม

เด็กไทยเก่ง คว้าแชมป์ทำเค้ก ที่ประเทศเบลเยี่ยม
.
สังคมออนไลน์ ชื่นชมกับความสามารถของเด็กไทยอีกคนหนึ่งที่ ทำเค้กได้รางวัลที่ 1 ในหมวด sculpture figure รายการ cake star international competition ที่ประเทศเบลเยี่ยม โดยข้อมูล ระบุว่า รายการแข่งขันนี้มีตัวแทนประเทศต่างๆ แต่ส่งผลงานเข้าแข่งขันถึง 150 ประเทศ จำนวนผู้เข้าแข่งขัน 500 คน
.
โดย น.ส.พรประภา แสงเลิศ ชาวป่าตอง จ.ภูเก็ต สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองจากผลงานที่มีชื่อว่า “A lady from the hell”  โดยได้รับแรงบันดาลใจ เทพธิดาจีนที่เธอชื่นชอบนั่นเอง
.
ที่มา: https://workpointtoday.com/cake-star-compilation-2022/
 

เด็กไทยทุกคนควรได้รับโอกาสในการศึกษาที่มีคุณภาพ

30 ปีที่ผ่านมา ตลอดการเดินทางของมูลนิธิยุวพัฒน์ ตั้งแต่เริ่มต้น เรามองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา และคุณภาพการศึกษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาส ด้วยความเชื่อว่า การศึกษาคือรากฐานของการพัฒนา เด็กไทยทุกคนควรได้รับโอกาสในการศึกษาที่มีคุณภาพ

.

แต่ความช่วยเหลือนั้นเหล่านั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความร่วมมือ และส่วนร่วมของคนไทยทุกคน ในวันนี้ทางมูลนิธิฯ มุ่งหวังที่จะเห็นการร่วมมือขยายกว้างขึ้น เพื่อให้เด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาเข้าถึงระบบการศึกษามากขึ้น และให้สังคมดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต

.

นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษา และต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพด้วย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

.

มีความพยายามมอบนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัจจุบันมีเด็กที่เกิดมาแล้วไม่ได้เข้ารับการศึกษาในประถมวัย ประมาณ 7 หมื่นคน และเด็กเข้าเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับ ขาดหายไป 2% จาก 6 ล้านคน หรือประมาณ 2 แสนคน ขณะที่เด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา หรือนักเรียนที่ Drop out เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจหรือปัญหาขาดโอกาสทางการศึกษา รวมทั้งสิ้นประมาณ 2 แสนกว่าคน

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ศธ. มีนโยบายตามน้องกลับมาเรียน ในเรื่องนี้ทาง ศธ. ดำเนินการให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ

.

ไปสำรวจว่าเด็กกลุ่มนี้อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร แล้วตามกลับเข้ามาระบบการศึกษา และมีโครงการอื่นมากมายที่พยายามให้เด็กกลับเข้ามาในระบบการศึกษา อาทิ โครงการช่วยเหลือผู้ปกครองในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 จำนวนคนละ 2000 บาท หรือโครงการอาชีวะ อยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ คือ นำเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษาเข้าไปอยู่โรงเรียนประจำ เรียนฟรี และให้มีรายได้ระหว่างเรียน

.

โครงการต่าง ๆ ที่กล่าวมา ล้วนเป็นโครงการที่ทาง ศธ. ได้พยายามที่จะดำเนินการเพื่อที่จะดูแลเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าไปไม่ทั่วถึงกับเด็กที่ขาดโอกาสหรือเด็กที่กำลังรอโอกาสที่จะเข้ามาในระบบการศึกษา ดังนั้นการที่ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนการศึกษา

.

จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง หากพวกเราร่วมมือกัน จะให้โอกาสเด็กเข้ามาในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น

.

"โอกาสที่จะพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพควรเริ่มต้นตั้งแต่เริ่มแรก เราต้องเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา บทบาทหน้าที่ของการพัฒนาเด็ก ไม่ใช่หน้าที่เฉพาะของสถานศึกษาเพียงเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคน" ดร. สุเทพ ระบุ

.

นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเสขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับทุกภาคส่วน มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนทุกช่วงวัย โดยจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในสถานศึกษา

.

นายพัฒนะ กล่าวย้ำว่า ความปลอดภัยต้องไว้เป็นลำดับที่ 1 ถ้านักเรียนมีความปลอดภัย ก็จะมีความพร้อมในการเข้าระบบการศึกษา

.

นายพัฒนะ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการสร้างโอกาสทางการศึกษา สพฐ. ได้ร่วมกับภาคเอกชนดำเนินโครงการ CONNEXT ED ตั้งแต่ปี 2559 แล้ว ปัจจุบันมีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 5,567 แห่งโดยภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมมือสร้างองค์ความรู้ พร้อมทั้งสนับสนุนเทคโนโลยี และทักษะวิชาการ วิชาชีพ ให้กับเด็กและเยาวชนทุกคนอย่างทั่วถึง

.

ส่วนตัวแทนภาคเอกชน ได้เข้ามาช่วยสมทบทุนช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และเป็นสื่อการให้ภาคประชาชนเข้ามาส่วนร่วมช่วยสมทบเพิ่มโอกาสให้เด็กของถึงการศึกษามากขึ้น เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีช่องทางแอปพลิเคชันให้ภาคประชาชนเข้ามีส่วนร่วม, After You  มีโครงการขนมปังเนยโสด ให้คนตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เกิดขึ้น จากปัญหาการสะกดผิดของน้อง ๆ และบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เข้าร่วมกับโครงการปันกัน เป็นต้น

.

ทั้งนี้ ภายในงานมีการเสวนาโครงการที่ร่วมมือกับมูลนิธิยุวพัฒน์ทั้งหมด 9 โครงการ ได้แก่

.

  • โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยแบบบูรณาการ โดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
  • ห้องเรียนดิจิทัล คณิตวิทย์ โดย Learn Education
  • ห้องเรียนดิจิทัลภาษาอังกฤษ โดย Winner English
  • เสริมสร้างคุณธรรม จริตธรรมในโรงเรียน โดย สถาบันพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม
  • ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดย Teach for Thailand
  • โครงการทุนการศึกษา ‘ส่งน้องเรียน สร้างเด็กดี’ โดยมูลนิธิยุวพัฒน์
  • พัฒนาครูแนะแนวรุ่นใหม่และเครื่องมือออกแบบชีวิตตัวเอง โดย a-chive
  • Food for Good การให้ที่ไม่จบแต่มื้ออาหาร
  • สร้างสังคมแบ่งปัน โดยโครงการร้านปันกัน

 

เรียนสายนี้ไม่ตกงานแน่ เปิด 5 สายเรียนเสี่ยงตกงานน้อย จบแล้วมีงานทำแน่ในอีก 5 ปีหน้า

ยุคนี้เลือกเรียนอะไรไม่ตกงาน? ถ้าลูก ๆ ของเราจะเรียนจบมหาวิทยาลัยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะมีคณะสาขาไหนบ้างที่ตลาดงานยังมีความต้องการสูง ความเสี่ยงตกงานต่ำ คณะที่จบแล้วมีงานทํา วันนี้ The Study Times จะพามาแนะนำให้รู้จัก

 
สายวิทยาศาสตร์สุขภาพ 

เป็นสาขาที่ได้รับการการันตีว่า เสี่ยงตกงานต่ำมากกกก จะกี่ยุคกี่สมัยสายงานนี้ก็เป็นที่ต้องการอยู่ตลอด ความต้องการแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในตลาดงานทั่วโลกไม่เคยเพียงพอ ถ้าน้อง ๆ คนไหนเรียนดีและอยากทำงานอาชีพที่เป็นหลักสูตรเฉพาะทาง ไม่โดนแย่งงานง่าย แนะนำเลยว่าต้องเลือกเรียนในสายนี้ อย่าง คณะแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ ชีวการแพทย์ เภสัชศาสตร์ เทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงคณะสาขาที่เกี่ยวกับการแพทย์และการดูแลสุขภาพ


สายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมข้อมูล

อีกสาขายืนหนึ่งที่ไม่ตกงานแน่นอน ทั้งในตอนนี้ และอีก 4-5 ปีข้างหน้า เพราะสายอาชีพนี้ยังคงมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ที่สำคัญ “เงินเดือนหรือค่าตอบแทน” ก็สูงมากกก เป็นสายงานที่เด็กจบใหม่จะได้ฐานเงินเดือนสูงอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับคณะสาขาอื่นเลยโดยเฉพาะในสายงาน Mobile Application Developer , Web Developer , Software Developer , Software Tester , Data Science , Data Analytics และสายออกแบบอย่าง UX/UI Designer ซึ่งคณะสาขาที่จะสามารถปูทางไปสู่อาชีพเหล่านี้ได้ ก็อย่างเช่น คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ, คณะวิทยาศาสตร์, คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์, วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี, วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม


สายการเงิน การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์

สายงานด้านธุรกิจการเงินการลงทุน เป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาชีพด้านการให้คำปรึกษา ในภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนที่เรียนมาทางด้านนี้มีตลาดงานรองรับทั้งกว้างและเฉพาะทาง รวมถึงสาขาใหม่แต่โดดเด่นอย่าง "สาขาอสังหาริมทรัพย์" ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมสายงานนี้ยังรายได้สูงดิน Top 5 เมื่อเทียบกับทุกสายอาชีพ ใครอยากทำงานสายการเงิน อนาคตดี มีคณะสาขาที่ช่วยพาไปสู่ฝันหลายสาขา อย่างเช่น คณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน, คณะวิทยาการจัดการ สาขาการเงิน, คณะการบัญชีและการจัดการ, คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาการเงินและการธนาคาร, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาการเงินและการคลัง


4.สายธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และดิจิทัลมีเดีย

อย่างที่รู้กันดีว่า ยุคนี้ไม่ว่าธุรกิจไหน ก็ต้องปรับตัวมาสู่การขายและทำธุรกิจในโลกออนไลน์ นั่นทำให้ตลาดงานมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญ ที่มีทักษะความรู้เฉพาะทางด้านธุรกิจและการตลาดดิจิทัลมาช่วย ซึ่งแน่นอนว่าความต้องการสายงานนี้จะยังคงพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายปี เพราะตลาดออนไลน์นั้นเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวันและไม่มีวันหยุดนิ่ง ใครที่ชอบงานออนไลน์ อยากทำงานด้านการตลาดดิจิทัล นักวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด นักจัดกิจกรรมทางการตลาด นักสร้างสรรค์เนื้อหาทางการตลาด หรือนักผลิตสื่อดิจิทัล บอกเลยว่าการสมัครเรียนในคณะสาขาเหล่านี้ จะเป็นใบเบิกทางที่ดีในอนาคตได้ อย่างเช่น คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาดดิจิทัล, คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน สาขาสื่อดิจิทัล, คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการออกแบบสื่อดิจิทัล, คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการตลาด


5.สายการจัดการโลจิสติกส์ และวิศวกรรมโลจิสติกส์

อย่างที่รู้กันว่าสายงานวิศวะฯ เป็นที่ต้องการอย่างมากในแทบทุกสาขา แต่สาขาที่แรงสุดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ “สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์” จากการเติบโตด้านโลจิสติกส์และโทรคมนาคมภายในประเทศ ทำให้ความต้องการแรงงานในสายนี้เพิ่มสูงขึ้นตาม แต่สถาบันที่ผลิตคนในสายนี้ก็ยังมีไม่มากพอกับตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มั่นใจได้เลยว่าในอีกหลายปีก็จะยังเป็นที่ต้องการ มีตลาดงานรองรับอย่างแน่นอน ซึ่งคณะสาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงในสายงานนี้คือสาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์, สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน, สาขาเทคโนโลยีโลจิสติกส์, สาขาโลจิสติกส์และการขนส่ง, สาขาการจัดการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ


ที่มา: school hug

เผยหลักสูตรคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล หลังค้นสเปรย์กัน RSV ได้ครั้งแรกของโลก

คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ฯลฯ ได้พัฒนา “สเปรย์พ่นจมูกเบซูโตะ เคลียร์ (Besuto Qlears)” ภายใต้โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยยับยั้งและป้องกันเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจ เช่น SARs-COV-2 (โควิด19) ไข้หวัดใหญ่(H1N1) และRSV ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก เป็นสิ่งที่น่าสนใจคือนี่ไม่ใช่ผลงานการวิจัยหนึ่งเดียวของคณะเวชศาสตร์เขตร้อนฯ แต่มีอีกหลายงานวิจัยที่ดังในระดับโลก นักเรียนและผู้ปกครองอาจสงสัยว่าคณะนี้เรียนเกี่ยวกับอะไร มีหลักสูตรอะไรบ้าง สามารถติดตามอ่านได้เลย


คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล  จัดตั้งขึ้นเพื่อศึกษาโรคต่าง ๆ ในเขตร้อน เป็นคณะด้านนี้แห่งเดียวในประเทศไทย และเป็นคณะที่มีผลงานวิจัยจำนวนมากตีพิมพ์ในวารสารระดับโลก นอกจากนี้ คณะยังมีโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ที่เปิดให้การรักษาพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคเขตร้อน อายุรกรรมทั่วไป และอายุรกรรมเฉพาะทางหลากหลายสาขา

คณะเวชศาสตร์เขตร้อน   เป็นคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งขึ้นโดยการริเริ่มของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์จำลอง หะริณสุต และศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงคุณหญิงตระหนักจิต หะริณสุต จากแนวคิดที่ว่า หลักสูตรแพทยศาสตร์ของประเทศไทยในสมัย 50 ปีก่อน ไม่มีการเรียนการสอนเฉพาะทางโรคเขตร้อน แพทย์ผู้ที่สนใจจะศึกษาต่อเฉพาะทางโรคเขตร้อนต้องเดินทางไปศึกษาในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีสถาบันที่มีชื่อเสียงเรื่องโรคเขตร้อนตั้งอยู่ ทั้ง ๆ ที่แพทย์ไทยมีความจำเป็นต้องให้บริการตรวจและรักษาคนไข้ด้วยโรคเขตร้อนอยู่เสมอ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แนวคิดของท่านทั้งสองที่จะจัดให้มีสถาบันโรคเมืองร้อนขึ้นในประเทศไทยนั้น มีผู้เห็นด้วยและได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญหลายท่านในขณะนั้น ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์สวัสดิ์ แดงสว่าง อธิการบดีมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ศาสตราจารย์ บี จี มีเกรท คณบดีสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ดร.กำแหง พลางกูร เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ในที่สุดจึงได้มีการก่อตั้งคณะอายุรศาสตร์เขตร้อน (ชื่อเดิม) ขึ้นในสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (หรือมหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2503 โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อ "สอนและอบรมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความรู้ความชำนาญในการบำบัด รักษา และป้องกันโรคเขตร้อน ทำการศึกษาวิจัยค้นคว้าเพื่อการแก้ปัญหาโรคเขตร้อน ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ พร้อมทั้งให้บริการรักษาผู้ป่วย รับปรึกษาให้คำแนะนำแก่แพทย์ และสถาบันการแพทย์ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องโรคเขตร้อน"

ในช่วงแรกของการก่อตั้ง คณะอายุรศาสตร์เขตร้อนมีสำนักงานชั่วคราวอยู่ที่โรงเรียนเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ในปีต่อมาเมื่อการก่อสร้างตึกเวชกรรมเมืองร้อนที่ถนนราชวิถีแล้วเสร็จ จึงได้ย้ายสำนักงานมาอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบัน โดยให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยควบคู่ไปกับการเรียนการสอนและการค้นคว้าวิจัย เริ่มแรกจัดตั้งมีเพียง 5 แผนกวิชา และแผนกธุรการ ได้แก่ แผนกอายุรศาสตร์เขตร้อน แผนกพยาธิโปรโตซัว แผนกปรสิตหนอนพยาธิ แผนกกีฏวิทยาการแพทย์ แผนกสุขวิทยาเขตร้อน และแผนกธุรการ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 ได้เปิดอาคารโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนเพื่อให้บริการผู้ป่วย โดยเริ่มจากโรงพยาบาลขนาด 20 เตียง ต่อมาขยายเป็น 100 เตียง จนเป็น 250 เตียงในปัจจุบัน

ในระยะ 7 ปี แรกของการเรียนการสอน คณะอายุรศาสตร์เขตร้อนเปิดรับสมัครแพทย์ชาวไทยเข้าเรียนในหลักสูตรประกาศนียบัตรอายุรศาสตร์เขตร้อนและสุขวิทยา (Graduate Diploma in Tropical Medicine and Hygiene หรือ D.T.M.&H.) ในปี พ.ศ. 2508 มีการก่อตั้งองค์การรัฐมนตรีศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Ministers of Education Organization หรือ SEAMEO เรียกชื่อย่อเป็นภาษาไทยว่า องค์การซีมีโอ) ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาหลังปริญญาในสาขาอายุรศาสตร์เขตร้อน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2510 รัฐบาลไทยจึงตั้งให้คณะอายุรศาสตร์เขตร้อนเป็นศูนย์อายุรศาสตร์เขตร้อนและสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (The National Center for Tropical Medicine and Public Health) เพื่อทำหน้าที่เป็นจศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนและฝึกอบรมด้านโรคเขตร้อนให้แก่ประเทศสมาชิกขององค์การซีมีโอ ขณะเดียวกันคณะเวชศาสตร์เขตร้อนเป็นที่ตั้งของศูนย์ประสานงานโครงการภูมิภาคเวชศาสตร์เขตร้อนและสาธารณสุขของซีมีโอ (SEAMEO-TROPMED Network) การจัดการเรียนการสอนจึงได้เปลี่ยนไปเป็นระดับนานาชาติ โดยเฉพาะหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตอายุรศาสตร์เขตร้อนและสุขวิทยา (Graduate Diploma in Tropical Medicine and Hygiene หรือ D.T.M.&H.) ได้มีการแก้ไขและปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์จากสถาบันเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งสหราชอาณาจักร (Liverpool School of Tropical Medicine) ทำให้คณะอายุรศาสตร์เขตร้อนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นโรงเรียนแพทย์เวชศาสตร์เขตร้อนในระดับนานาชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คณะอายุรศาสตร์เขตร้อนได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะเวชศาสตร์เขตร้อน" ในปี พ.ศ. 2518 และต่อมาในปี พ.ศ. 2536 คณะฯ ได้รับการยกฐานะเป็นศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยเวชศาสตร์เขตร้อนของซีมีโอ (SEAMEO Regional Center for Tropical Medicine) โดยมีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญด้านการสอนในระดับหลังปริญญา ให้แก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศสมาชิกของซีมีโอ รวม 10 ประเทศ

นอกจากนี้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ได้รับมอบหมายจากองค์การระหว่างประเทศให้เป็นที่ตั้งของศูนย์ร่วมมือทางวิชาการ ดังนี้

 
  1. SEAMEO-TROPMED Network
  2. Mahidol-Oxford Tropical Medicine Research Unit (MORU)
  3. WorldWide Antimalarial Resistance Network (WWARN) - Asia Regional Centre
  4. Mahidol-Osaka Center for Infectious Disease (MOCID)
  5. Malaria Consortium - Regional Office for Asia
  6. Silom Community Clinic at Trop Med (SCC@TropMed)
 
คณะเวชศาสตร์เขตร้อนเป็นสถาบันวิชาชีพชั้นสูงในมหาวิทยาลัย ให้การศึกษาวิชาเวชศาสตร์เขตร้อนแก่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสนองความต้องการของสังคมด้านสาธารณสุขของประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์การแพทย์ประยุกต์ รวบรวม เผยแพร่ และถ่ายทอดความรู้เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขานี้ ในด้านการบริการชุมชน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ทำการตรวจวินิจฉัยรักษาป้องกันโรคเขตร้อนและส่งเสริมสุขอนามัย คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมีจุดมุ่งหมายที่จะปลูกฝัง ให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาเวชศาสตร์เขตร้อน สามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาสาธารณสุขของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท มีความรอบรู้ ความคิดริเริ่ม ใฝ่รู้อยู่เสมอ รอบคอบ รู้จักตนและหน้าที่รับผิดชอบ มีศีลธรรมและเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม
 

ในปัจจุบันคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล อยู่ภายใต้การนำของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจากการจัดการประชุมนานาชาติเวชศาสตร์เขตร้อน หรือ Joint International Tropical Medicine Meeting (JITMM) ที่ได้รับความร่วมมือจากแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ไทยและต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมาก มีหัวข้อเรื่องในการประชุมน่าสนใจ โดยจัดการประชุมประมาณต้นเดือนธันวาคมของทุกปี Joint International Tropical Medicine Meeting (JITMM) ในปี 2563 คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการนานาชาติ The 20th International Congress for Tropical Medicine and Malaria (ICTMM 2020) โดยมีหลักสูตรดังนี้
 
หลักสูตรระดับนานาชาติ: ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 2 หลักสูตร
 
 1.หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาอายุรศาสตร์เขตร้อนและสุขวิทยา (Graduate Diploma in Tropical Medicine and Hygiene; D.T.M.&H.)
 2.หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาสารสนเทศศาสตร์ชีวเวชและสุขภาพ (Graduate Diploma in Biomedical and Health Informatics; D.B.H.I.)
 
ระดับปริญญาโท 5 หลักสูตร
 
 1.หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน [Master of Science in Tropical Medicine; M.Sc.(Trop.Med.)]
 2.หลักสูตรอายุรศาสตร์เขตร้อนคลินิกมหาบัณฑิต (Master of Clinical Tropical Medicine; M.C.T.M.)
 3.หลักสูตรอายุรศาสตร์เขตร้อนคลินิกมหาบัณฑิต สาขากุมารเวชศาสตร์เขตร้อน [Master of Clinical Tropical Medicine in Tropical Pediatrics; M.C.T.M.(Trop.Ped.)]
 4.หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสารสนเทศศาสตร์ชีวเวชและสุขภาพ {Master of Science in Biomedical and Heath Informatics; [M.Sc.(B.H.I.]}
 5.หลักสูตรวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาอนามัยโรงเรียน [Master of Science (School Health)]
 
ระดับปริญญาเอก 2 หลักสูตร
 
 1.หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน [Doctor of Philosophy in Tropical Medicine; Ph.D.(Trop.Med.)]
 2.หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาอายุรศาสตร์เขตร้อนคลินิก [Doctor of Philosophy in Clinical Tropical Medicine; Ph.D.(Clin.Trop.Med.)]
 
 
หลักสูตรระดับชาติ:
 
 1.หลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว (TropMed Residency Training in Preventive Medicine (Travel Medicine)) เป็นหลักสูตรแรกของประเทศไทย ปัจจุบันกำลังปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้สามารถรับแพทย์ประจำบ้านชาวต่างประเทศให้มาเรียนแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเพิ่มศักยภาพความเป็นนานาชาติด้านการบริการสุขภาพและการศึกษา

 2.หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 3 ร่วมกับศูนย์แพทยศึกษา โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 4 รายวิชา
 3.หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล โรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล เป็นหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากสภาการพยาบาล ระยะเวลาศึกษา 1 ปี

ที่มา:  คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล

เอเปคการศึกษา มุ่งเป้ายกระดับคุณภาพการศึกษาที่ยั่งยืน รองรับงานโลกผันผวน

เอเปคการศึกษา มุ่งเป้ายกระดับคุณภาพการศึกษาที่ยั่งยืน รองรับงานโลกผันผวน

.

การเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ทำให้กลุ่มสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค หรือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ต่างตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยมุ่งมั่นส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพและเสมอภาค การพัฒนาทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 การสร้างนวัตกรรมรวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

.

โดยเครือข่ายเอเปคการศึกษาได้กำหนดวิสัยทัศน์ 2030 (พ.ศ. 2573) ร่วมกันว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ประเทศสมาชิกเอเปคจะสร้างเครือข่ายการศึกษาที่มีความเหนียวแน่น โดยมุ่งเน้นการศึกษาที่ครอบคลุมและมีคุณภาพซึ่งสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคม และสร้างเสริมความสามารถในการทำงานของชายและหญิงในเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อที่จะบรรลุผลสำเร็จตามวิสัยทัศน์ของการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเอเปค (APEC Education Strategy).

.

“เอเปคด้านการศึกษา” ซึ่งไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เอเปค (HRDWG) ครั้งที่ 47 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยการประชุมดังกล่าวจะเป็นความร่วมมือของเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อส่งเสริมคุณภาพการศึกษา และสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามเป้าหมายเครือข่ายการศึกษาเอเปคปี 2022 ที่มุ่งหมายให้มีการศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (“Quality Education for Sustainable Growth”)

.

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)กล่าวว่า ประเทศไทยยินดีที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเครือข่ายการศึกษาของเอเปค และเวทีแสดงวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีด้านการศึกษาของเอเปคว่าด้วยการศึกษาปี 2030 โดยเชื่อว่าความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจสมาชิกเพื่อสร้างชุมชนการศึกษาที่เข้มแข็งและเป็นหนึ่ง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สังคมอยู่ดีมีสุข และประชาชนมีงานทำของเขตเศรษฐกิจสมาชิก

.

“ประเทศไทยเชื่อว่าการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ประเทศไทยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ที่ทำให้การศึกษาดำเนินได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องตามแนวคิดหลักของเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ปี 2565 คือ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันสู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.)”น.ส.ตรีนุช  กล่าว

.

ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสมาชิกเอเปคเป็นรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือด้านการศึกษา (APEC Education Network - EDNET) ซึ่งเป็นเครือข่ายภายใต้คณะทำงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค (Human Resources Development Working Group)

.

มีผู้ประสานงานเครือข่าย (EDNET Coordinator) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค 21 เขต เพื่อขับเคลื่อน ส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพและเสมอภาคในกลุ่มสมาชิก พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อรองรับการจ้างงานและความสามารถในการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน

.

ทั้งนี้ ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเขตเศรษฐกิจ จึงเป็นลักษณะของโครงการและกิจกรรม ซึ่งอาจเป็นการประชุม สัมมนา หรือการอบรม ซึ่งแต่ละเขตเศรษฐกิจจะริเริ่มและดำเนินการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป โดยจะมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสมาชิกเข้าร่วมโครงการและกิจกรรมต่าง ๆในปัจจุบันกิจกรรมส่วนใหญ่จะจัดในรูปแบบออนไลน์

.

สำหรับในปี 2565 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค ได้มีการเสนอโครงการ “Online Workshops for Lesson Study 2.0: Artificial Intelligence (AI) and Data Science for Education in APEC Economies” โดยมี อว. และมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นผู้เสนอโครงการและดำเนินการร่วมกับญี่ปุ่น

.

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า APEC Education Strategy สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคตกลงที่จะร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ได้แก่

.

1. ส่งเสริมและสร้างสมรรถนะที่สนองต่อความต้องการของบุคคล สังคม และอุตสาหกรรม

.

โดยจะมุ่งเน้นการปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีความทันสมัย และระบบประกันคุณภาพการศึกษา การกำหนดกรอบคุณวุฒิและรับรองมาตรฐานทักษะความสามารถ ส่งเสริมการศึกษาข้ามพรมแดน การแลกเปลี่ยนถ่ายโอนทางวิชาการและนักศึกษา

.

2. การสร้างเสริมนวัตกรรม

.

ยกระดับการสมรรถนะด้านการศึกษาและเทคโนโลยีในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการศึกษาและการเรียนการสอน อีกทั้งเพิ่มความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรม

.

3. เพิ่มความสามารถในการทำงาน

.

มุ่งเพิ่มความร่วมมือระหว่างรัฐบาล สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาและการฝึกอบรม (TVET) พัฒนาสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 สำหรับการทำงานและการเป็นผู้ประกอบการในทุกระดับ ทุกรูปแบบการศึกษา  และสร้างแนวทางให้นักศึกษาก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานได้อย่างราบรื่น

.

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า APEC Education Strategy สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคตกลงที่จะร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ได้แก่

.

1. ส่งเสริมและสร้างสมรรถนะที่สนองต่อความต้องการของบุคคล สังคม และอุตสาหกรรม

.

โดยจะมุ่งเน้นการปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีความทันสมัย และระบบประกันคุณภาพการศึกษา การกำหนดกรอบคุณวุฒิและรับรองมาตรฐานทักษะความสามารถ ส่งเสริมการศึกษาข้ามพรมแดน การแลกเปลี่ยนถ่ายโอนทางวิชาการและนักศึกษา

.

2. การสร้างเสริมนวัตกรรม

.

ยกระดับการสมรรถนะด้านการศึกษาและเทคโนโลยีในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการศึกษาและการเรียนการสอน อีกทั้งเพิ่มความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรม

.

3. เพิ่มความสามารถในการทำงาน

.

มุ่งเพิ่มความร่วมมือระหว่างรัฐบาล สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาและการฝึกอบรม (TVET) พัฒนาสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 สำหรับการทำงานและการเป็นผู้ประกอบการในทุกระดับ ทุกรูปแบบการศึกษา  และสร้างแนวทางให้นักศึกษาก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานได้อย่างราบรื่น

.

ขณะที่ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการสร้างนวัตกรรมในกลุ่มสมาชิกเอเปค นอกจากเครือข่ายด้านการศึกษาแล้ว ยังมีการขับเคลื่อนในส่วนของเครือข่ายด้านการสร้างสมรรถนะ (Capacity Building Network: CBN) และเครือข่ายด้านแรงงานและสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ   เอเปค

.

โดยเครือข่าย CBN ได้มีการกำหนดแผนเพื่อการพัฒนาสมรรถนะพลเมืองเอเปค Roadmap 2022-2025 ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่

.

1) การสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการปลูกฝังแนวคิดใหม่ต่อการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร

.

2) การส่งเสริมให้แต่ละเขตเศรษฐกิจให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านดิจิทัล

.

3) การปรับปรุงและเพิ่มทักษะบุคลากรเพื่อตอบสนองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์ COVID-19

.

 4) การปรับระบบ รูปแบบ กระบวนการ และขั้นตอนต่าง ๆ ในการสร้างขีดความสามารถของบุคลากร

.

ด้าน เครือข่ายแรงงานและการคุ้มครองทางสังคม (Labor and Social Protection Network: LSPN) ได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านนโยบายเพื่อส่งเสริมการปรับตัวอย่างยืดหยุ่นในตลาดแรงงานที่ผันผวน การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงของงานและความผันผวนของตลาดแรงงานจากข้อท้าทายต่าง ๆ โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการบูรณาการเรื่องเพศภาวะในนโยบายด้านแรงงาน

.

สำหรับผลการประชุมการพัฒนาเครือข่ายเอเปคเพื่อการมีงานทำในโลกที่ผันผวน ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในโอกาสที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานดังกล่าว มีข้อสรุปจากหลายเขตเศรษฐกิจของเอเปคเกี่ยวกับความพยายามตั้งต้นระบบการเรียนรู้ใหม่ (Reset) ท่ามกลางสภาพแวดล้อม ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายของโลก

.

“แต่ละสมาชิกเขตเศรษฐกิจพยายามจัดการเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นดิจิทัล รวมถึงเปลี่ยนจากโหมดการเรียนรู้แบบดั้งเดิมไปสู่โหมดการเรียนรู้แบบผสมดิจิทัล และการเรียนรู้แบบอื่นๆ เขตเศรษฐกิจหลายแห่งได้พัฒนาการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมอย่างรุดหน้า รวมทั้งพัฒนาวิธีการสอนและบทเรียนผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ หลายแห่งสามารถปรับตัวได้อย่างดีและออกแบบแนวคิดที่ชัดเจนจนเกิดวิธีใหม่ การจัดการด้านการศึกษายังคงคำนึงถึงเด็กตกหล่นจากระบบ ผู้ขาดโอกาศทางการศึกษา และนักเรียนตามชายแดน”น.ส.ตรีนุช กล่าว

.

นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้มีการเสนอว่า ภาคการศึกษาควรรับฟังความต้องการของภาคธุรกิจและตลาดแรงงานเพื่อให้เกิดผลดีต่อนักเรียนนักศึกษาที่เรียนจบและหางานทำท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ผันผวน

.

อีกทั้ง ผู้นำของเอเปคต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และต่อยอดจากประสบการณ์และปัญหา แล้วก้าวไปข้างหน้า  รวมทั้ง ควรมีการจัดการประชุมผู้นำรุ่นเยาว์เพื่อแบ่งปันวิสัยทัศน์และความเข้าใจ รวมทั้งทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างสังคมที่ดีและมีคุณภาพ

.

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

มฟล.จับมือคณะทันตแพทย์ 17 มหา’ลัย

มฟล.จับมือคณะทันตแพทย์ 17 มหา’ลัย ประกาศปฏิญญาว่าด้วยการดูแลสุภาพจิต น.ศ.ทันตะ
.
ผศ.(พิเศษ) ทพ.ไพศาล กังวลกิจ คณบดีสำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เปิดเผยว่า สำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ มฟล.จัดพิธีลงนามในปฏิญญาว่าด้วยการดูแลสุภาพจิตในคณะทันตแพทยศาสตร์ ประเทศไทย ร่วมกับคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ 17 แห่งจากทั่วประเทศ ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มฟล., มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น, มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, มหาวิทยาลัยเนชั่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
.
ผศ.(พิเศษ) ทพ.ไพศาลกล่าวอีกว่า ปฏิญญาว่าด้วยการดูแลสุขภาพจิตในคณะทันตแพทยศาสตร์ประเทศไทย จัดทำขึ้นตามที่องค์กรผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญ และมุ่งหวังที่จะสร้างแนวทางการดูแลสุขภาพจิตในคณะทันตแพทยศาสตร์ เพื่อจัดการปัญหาสุขภาพจิตทั้งในนิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ และบุคลากร ลดความเครียด ลดความรุนแรงของภาวะซึมเศร้า เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ และการทำงานที่เป็นสุข จึงขอความร่วมมือคณะทันตแพทยศาสตร์ทุกสถาบันลงนามเห็นชอบ โดยมีพันธกิจที่จะดำเนินการร่วมกัน ดังนี้
.
1.ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนทั้งภาคบรรยาย และภาคปฏิบัติ เพื่อลดความเครียด และส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ โดยสนับสนุนการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความถนัด และความต้องการของผู้เรียน การปรับปรุงหลักสูตรให้มีเนื้อหาเปิดกว้าง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานจริงของวิชาชีพทันตแพทย์ตั้งแต่ปีแรก มีกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้นิสิตนักศึกษาสามารถประมวลความรู้พื้นฐานทั้งหมดเข้าด้วยกัน และนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้จริง ปรับปรุงกระบวนการวัดผลอย่างสมเหตุสมผล และเป็นธรรม เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษามีเวลาว่างสำหรับพักผ่อน หรือทำกิจกรรมตามความสนใจ และมุ่งเน้นการพัฒนา soft skills
.
2.จัดสถานที่ และการสร้างบรรยากาศเพื่อลดความเครียด และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้โดยการจัดสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และสิ่งแวดล้อมในคณะทันตแพทยศาสตร์ให้ปลอดภัย ทั้งทางกายภาพ และทางด้านจิตใจ มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งใน และนอกเวลาราชการ และจัดกิจกรรมให้อาจารย์ และนิสิตนักศึกษา ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้สึกที่มีต่อกัน เพื่อลดความห่างเหิน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
.
3.กลไกการดูแลสุขภาวะทางจิตที่เหมาะสมสำหรับนิสิตนักศึกษา และบุคลากร มีระบบการดูแลด้านสุขภาพจิต โดยมุ่งเน้นความสำคัญ 3 ด้าน คือ 1.รักษาความลับในการปรึกษา 2.เข้าถึงการให้คำปรึกษา 3.สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และ
.
ส่งเสริมความสุข พัฒนากลไกที่ชัดเจนในการส่งปรึกษาด้านจิตวิทยาในหลายระดับขั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง ดูแล และรักษา เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการช่วยดูแลนิสิตนักศึกษา รวมทั้ง พัฒนาศักยภาพอาจารย์ นิสิตนักศึกษา และบุคลากร ในการดูแลสุขภาวะทางจิต ทั้งสำหรับตนเอง และผู้อื่นด้วย ทั้งนี้ ให้ข้อตกลงฉบับนี้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป
 

ผลักดัน Net Zero!!! ปตท. ขับเคลื่อนปท.ไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศในอนาคต

กลุ่ม ปตท. ผนึกกำลัง รุกธุรกิจน้ำมันเครื่องบินเพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างสังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2565) นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียม
ขั้นปลาย  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการศึกษา พัฒนาและลงทุนผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดย นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่แผนกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Thai Oil) โดย นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร 
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านกลยุทธ์องค์กร  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) โดย          

นางวราวรรณ  ทิพพาวนิช  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) โดย นายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  กลยุทธ์ แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) โดย นายทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน ร่วมลงนาม 


การลงนามในครั้งนี้ผนวกรวมองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของกลุ่ม ปตท. ในการประกอบธุรกิจโรงกลั่น พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการพัฒนากระบวนการกลั่นผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีประสิทธิภาพสูงจาก Thai Oil, GC และ IRPC ตลอดจนความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานมาอย่างยาวนานทั้งในประเทศและต่างประเทศของ OR  มาต่อยอดการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ มาตรฐานระดับโลก ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิต Hydroprocessed Esters and Fatty Acids (HEFA) และ Alcohol to Jet (ATJ) มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก

 
“กลุ่ม ปตท. มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผลักดันเป้าหมาย Net Zero ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพในประเทศ ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ  ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืน พร้อมรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศในอนาคต สอดคล้องวิสัยทัศน์  Powering Life with Future Energy and Beyond” นายนพดล ปิ่นสุภา กล่าวในตอนท้าย

DPU ผนึกกำลัง สถาบันการศึกษาอินโดฯ พัฒนาการศึกษาให้แข็งแกร่ง คาดเพิ่มรายได้ให้ประเทศ

มธบ.จับมือ 55 สถาบันการศึกษาอินโดฯ-กลุ่มประเทศ CLMV ร่วมพัฒนาการศึกษานานาชาติ
ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายภาคีสัมพันธ์ และคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) เปิดเผยว่า มธบ.นำโดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี และคณะผู้บริหาร ร่วมกับสมาคมชุมชนมุสลิมอาเซียน (Associate of Muslim Community in ASEAN: AMCA) ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อ “Challenges of Community Development in Disruption Era” พร้อมลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับสถาบันการศึกษาจากอินโดนีเซีย จำนวน 55 แห่ง เวียดนาม กัมพูชา และลาว เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาในระดับนานาชาติให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งพัฒนาการศึกษาเพื่อสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน

ภายในงานมีผู้บริหารของสถาบันการศึกษาพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 100 คน และภายใต้การร่วมมือดังกล่าว ยังเป็นการร่วมฉลองครบรอบ 55 ปี ของการก่อตั้ง มธบ.ผศ.ดร.ศิริเดชกล่าวต่อว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากพัฒนาหลักสูตรทางการศึกษาร่วมกันระหว่าง มธบ.และมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซีย รวมทั้ง ประเทศ CLMV อีกกว่า 20 แห่งแล้ว ยังถือเป็นการเปิดตลาดการศึกษาให้กับนักศึกษาชาวมุสลิมของทั้ง 2 ฝ่ายอีกด้วย เบื้องต้นมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียเสนอทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตรในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาของ มธบ.ขณะเดียวกัน มธบ.ก็พร้อมรับนักศึกษามุสลิมจากเครือข่ายพันธมิตร โดยทาง CIBA มีหลักสูตรนานาชาติในหลายสาขาวิชา โอกาสนี้ ถือเป็นการขยายตลาดการศึกษาไปยังกลุ่มนักศึกษามุสลิม ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และยังถือเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศอีกด้วย


“การบุกตลาดการศึกษาไปยังอินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศอาเซียน นับเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยอยู่จำนวนมาก และมีบางแห่งเสนอให้ทุนเรียนฟรี 100% ในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาเรา ทั้งนี้ เบื้องต้นตั้งเป้านักศึกษาจากอินโดนีเซียมาเรียนกับ มธบ.อย่างน้อยปีละ 100 คน” ผศ.ดร.ศิริเดช กล่าว

สวยแถมเก่ง!!! น้องซาร่า ศิษย์เก่าคณะพยาบาล ม.ขอนแก่น คว้ามงฯ นางนพมาศ งานสีฐาน เคเคยู เฟสติวัล 2565

"น้องซาร่า" น.ส.สุภัสสรา สุปัญญา ศิษย์เก่าคณะพยาบาล มข.คว้ามงฯ นางนพมาศ งานสีฐาน เคเคยู เฟสติวัล ปี 65 ไปครอง ขณะที่ Miss Popular Vote กับรางวัลชุดรักษ์น้ำ หมายเลข 6 น.ส.กนกขวัญ ชุมแวงวาปี
เมื่อคืนวันที่ 8 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดงานลอยกระทง หรืองานสีฐานเฟสติวัล “บุญสมมาบูชานาค” ประจำปี

ซึ่งเป็นการจัดงานเต็มรูปแบบครั้งแรกหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพื่อช่วยทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย และช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติในอนาคต ที่บริเวณริมบึงสีฐาน สถานที่จัดงานลอยกระทงและงานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค ประจำปี 2565 และมีการจัดการประกวดนางนพมาศ (Miss Aqua) งานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค (Sithan KKU Festival 2022) ในคืนที่ผ่านมา ผลการประกวดนางนพมาศ งานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค (Sithan KKU Festival 2022)


สำหรับผลการตัดสิน รางวัลชนะเลิศ หมายเลข 3 นางสาวสุภัสสรา สุปัญญา ชื่อเล่น ซาร่า ปัจจุบันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นศิษย์เก่าคณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรวันที่ 18-19 ธันวาคม 2565 นี้ ทั้งยังเป็นอดีตรองนางงามไหมอันดับ 1 ปี 2561 ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมมงกุฎ และสายสะพาย


รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 หมายเลข 19 นางสาวศิริญาพร พรมีฤกธิ์ ได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท และสายสะพาย รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 หมายเลข 11 นางสาวณัฎฐลินีย์ บาดาล ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท และสายสะพาย รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้รับเงินรางวัล รางวัลละ 5,000 บาท และสายสะพาย ได้แก่ หมายเลข 12 นางสาวมยุรี ศรีวิวัฒน์ และหมายเลข 20 นางสาวผกาพันธ์ รุ่งเรืองศรี รางวัล Miss Popular Vote ได้แก่ หมายเลข 6 น้องไนท์ นางสาวกนกขวัญ ชุมแวงวาปี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย
รางวัล Miss Social Media ได้แก่ หมายเลข 20 นางสาวผกาพันธ์ รุ่งเรืองศรี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย รางวัลชุดรักษ์น้ำ ได้แก่ หมายเลข 6 นางสาวกนกขวัญ ชุมแวงวาปี ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท และสายสะพาย.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top